-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ  (อ่าน 1323 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18393
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ
« เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2015, 14:23:09 »

Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ



บางครั้งความเชื่อของเราก็ก่อให้เกิดฆาตกรต่อเนื่องได้เหมือนกัน
 
บางครั้งฆาตกรต่อเนื่องก็ทำสิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ฆาตกรต่อเนื่องตัดสินใจฆ่าคนมากกว่าหนึ่งรายขึ้นไป
ทั้งที่เหยื่อที่ตนฆ่านั้นไม่มีแรงจูงใจที่อยากฆ่าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นความแค้น ผลประโยชน์ หรือเหตุผลส่วนตัว และสิ่งที่
ทำให้หลายคนพิศวงมากที่คือ ฆาตกรต่อเนื่องส่วนมากเมื่อทำการฆ่าเหยื่อของตนแล้วมักจะปฏิบัติต่อศพหลังฆ่าอย่างพิสดาร
ประหลาด จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นความคิดของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น หั่นศพ แล่ศพเพื่อนำมากิน จัดท่าทางศพ
เอาชิ้นส่วนศพมาเป็นตุ๊กตาหรือทำของใช้ส่วนตัว ฯลฯ


การที่ฆาตกรปฏิบัติต่อศพพิสดารนั้นก็มีหลายเหตุผล เช่น ความเชื่อ ศาสนา อาการทางจิต ความแค้นในวัยเด็ก 
เช่น ฆาตกรต่อเนื่องในภาพยนตร์ก็ล้วนมีเหตุจูงใจที่ต่างกันออกไป ตัวอย่าง ฮันนิบาล เล็คเตอร์ จากภาพยนตร์
Silence of the Lamps เขามีความรู้สึกเป็นสุขเมื่อเขาได้กินเนื้อเหยื่อ เพราะคิดว่าจิตวิญญาณของเหยื่อเหล่านั้น
ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา เพราะในวัยเด็กน้องสาวของเขาถูกทหารหิวโซกลุ่มหนึ่งกินเพื่อประทังชีวิต หรือ เกรนูอีลเล่
จากภาพยนตร์เรื่อง Perfume ( 2007 ) ที่ฆ่าคนเพียงเพื่อทำน้ำหอมด้วยความหวังว่าตนจะได้กลิ่นที่เขาไม่เคย
สัมผัสมาก่อน

ความเชื่อส่วนตัวของฆาตกร เป็นสาเหตุสำคัญที่ฆาตกรตัดสินใจปฏิบัติต่อศพเหยื่อแบบพิสดาร ความเชื่อเหล่านี้
เกิดขึ้นจากอิทธิพลวัยเด็กของฆาตกร ความเชื่อทางลัทธิศาสนา มนต์ดำ

 
   
ลีโอนาร์ด้า เชียนซุลลี่ (Leonarda Cianciulli)


 
ลีโอนาร์ด้า เชียนซุลลี่ เป็นฆาตกรต่อเนื่องอิตาลี ที่ถูกขนามนามว่า นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ เธอทำการฆาตกรรม
หญิงสาวในคอร์เรจจิโอสามคน ระหว่าง ปี 1939 และ ปี 1940 โดยเหยื่อทั้งหมดเป็นสาววัยกลางคน  และเมื่อเธอ
ฆ่าเหยื่อเหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจะเอาร่างกายของเหยื่อเหล่านั้นไปทำสบู่ นอกจากนี้เธอยังใช้เลือดเหยื่อ
มาผสมกับแยม อบเชย วานิลลาเพื่อทำเป็นเค้กอีกด้วย


ลีโอนาร์ด้า เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 1893 ในมอนเตลล่าชีวิตในวัยเด็กของเธอนั้นเหมือนฆาตกรต่อเนื่องทั่วๆ
ไปที่มีความหลังที่ขมขื่นถูกทำร้ายจิตอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความสุข แม่รังเกียจเธอเพราะเธอเป็นเกิดมาจากการข่มขืน
เมื่อสามีของแม่เสียชีวิต เธอก็แต่งงานใหม่และมีเด็กคนอื่น

ลีโอนาร์ด้าได้เล่าชีวิตของเธอในวัยเด็กว่า เธอเป็นคนตัวเล็ก ร่างกายอ่อนแอ และขี้โรคที่ต้องทนทุกข์ทรมานจาก
โรคลมชัก ทำให้แม่ของเธอต้องรับภาระการรักษาของเธอจนทำให้เธอกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว ครั้งหนึ่ง
แม่ของเธอถึงกับเอ่ยปากว่า ฉันเสียใจมากเมื่อเห็นเธอมีชีวิตอยู่ ลีโอนาร์ด้ากลายเป็นเด็กที่ไม่มีความสุขและอยาก
จะตาย เธอพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง โดยพยายามจะแขวนคอตนเองสองครั้งแต่มีคนมาช่วยไว้ทันเสียก่อน
และต่อมาเธอพยายามกินเศษกระจกแตกแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในปี 1914 เมื่อลีโอนาร์ด้าอายุได้ 21 ปี เธอได้แต่งงานกับเสมียนจากสำนักงานรีจัสทรีชื่อ ราฟฟาเอล พันซาร์ดี
ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของแม่เพราะอยากให้เธอแต่งงานกับอีกคนมากกว่า ทำให้ลิโอนาร์ด้าและสามีต้องย้าย
ไปอยู่ริวันโนเพื่อหนีปัญหา แต่แล้วในปี 1930  ลีโอนาร์ด้าและคู่รักก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อบ้านของเธอถูก
ทำลายเพราะเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากคำสาปของแม่ที่
เกลียดชังเธอ



ลีโอนาร์ด้าได้ย้ายที่อยู่ใหม่อีกครั้ง โดยไปตั้งหลักที่เมืองคอร์เรจจิโอซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองชนบทที่เงียบสงบ
เธอได้เปิดร้านค้าขายขนาดเล็ก ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนบ้านไป
ทำให้หลายคนละแวกนั้นชอบเธอ เธอมักต้อนรับแขกของเธอด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มสดใส ชอบแต่งหน้า
และมีกลิ่นหอม(ซึ่งสมัยนั้นผู้หญิงไม่นิยมทำกลิ่นตัวให้หอมเท่าไหร่นัก)


เมื่อลีโอนาร์ด้าอายุ 17 ปี เธอก็ได้ตั้งครรภ์ แต่แล้วลูกคนที่สามของเธอก็เสียชีวิตจากการคลอดก่อนกำหนด
ทำให้เธอเกิดความกลัวที่จะสูญเสียลูกคนที่สี่ นับจากนั้นเป็นต้นมาความกลัวของเธอก็ถูกเติมเต็มด้วยความเชื่อ
ของโชคลาง  เธอเชื่อว่ามันจะช่วยปกป้องไม่ให้ลูกของเธอตาย เธอนับถือหมอดูและเชื่อคำทำนายของหมอ
ดูว่าเด็กทั้งหมดของเธอจะตายในอนาคต นับจากนั้นเป็นต้นมาเธอพยายามทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้ลูกของเธอ
รอดพ้นจากความตายตามคำพยากรณ์ 

ในปี 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มระบุเมื่ออิตาลีเป็นพันธมิตรกับเยอรมันรวมกลุ่มกันเป็นฝ่ายอักษะและเริ่ม
โจมตีประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป ในตอนนั้นลีโอนาร์ด้ายังคงใช้ชีวิตตามปกติเหมือนทุกวัน เธอมีมีลูกอยู่สี่คน
ลูกสาวคนเดียว นอร์มกำลังเรียนอยู่โรงเรียนอนุบาล เบอร์นาร์โดและ ไบอากิโออยู่ในโรงเรียน และเซปเป
กำลังเรียนวรรณคดีที่มหาลัยมิลาน) จนกระทั้งวันหนึ่งเธอได้ยินข่าวลูกชายคนโตของเธอเซปเปได้เข้าร่วม
กองทัพอิตาลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเซปเปเป็นลูกที่เธอรักมากและเธอก็อยากปกป้องเขาให้รอดพ้น
จากคำสาปของแม่  เธอเลยต้องทำอะไรสักอย่างแม้จะเป็นเรื่องชั่วร้ายก็ตาม เธอเริ่มศึกษามนต์ดำและในที่สุด
ก็ได้ข้อสรุปว่าเธอน่าจะทำพิธีเสียสละมนุษย์สักคนเพื่อให้ลูกของเธอปลอดภัย ซึ่งตามตำนานโบราณแล้ว
การเสียสละมนุษย์นั้นจะเป็นการปลอบประโลมการลงโทษของพระเจ้าให้เบาบางลง และนั่นเองจึงเป็นที่มา
ของสบู่มนุษย์
 




เหยื่อรายแรกของลีโอนาร์ด้าคือฟัวทิน่า เซ็ททิ เป็นเพื่อนบ้านที่มาขอความช่วยเหลือ โดยให้เธอหาสามี
ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะที่ทำให้เธอวางแผงในการฆาตกรรม เธอจึงออกกลอุบายว่าเธอสามารถหาคู่ที่เหมาะสม
ได้ที่โพลา(Pola) จากนั้นเธอก็บอกให้เอมีลินดาเขียนจดหมายและโปสการ์ดให้กับญาติและเพื่อนๆ
ทางไปรษณีย์ว่าตอนนี้เธออยู่โพลาและทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ด้วยดี


ในเวลาบ่ายโมงของวันที่ 15 ธันวาคม 1939 ฟัวทิน่าได้บอกกับเพื่อนบ้านว่าช่วงนี้เธอไม่อยู่บ้าน ขอให้
พวกเขาดูแลแมวของเธอสองสามวัน โดยเธอกล่าวว่าเธอจะไปทำธุระแต่งงานในเมืองทางตอนใต้
และนี้คือภาพสุดท้ายที่ทุกคนเห็นเธอ

ความจริงก็คือฟัวทิน่า ไม่ได้เดินทางไปยังเมืองโพลา เพราะในวันที่เธอกำลังเดินทางเธอได้มาบ้าน
ลีโอนาร์ด้าตามที่เธอนัดเอาไว้ เมื่อเอมีลินดามาถึง เธอจัดการมอมเมาเหยื่อของเธอโดยให้ดื่มไวน์
และฆ่าฟัวทิน่า ด้วยขวาน ลากเข้าไปในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ใช้เลื่อยหั่นแขน ขา หัว ลำตัวของศพเอมีลินดา
ออกเป็นเก้าส่วนและเก็บเลือดไว้ในอ่าง

และนี้คือคำให้การของเธอ

" ฉันโยนชิ้นเนื้อลงในหม้อ ใส่โซดาไฟเจ็ดกิโลที่ฉันซื้อมาเพื่ออ้างว่าเอาไปทำสบู่ แล้วกวนส่วนผสมทั้งหมด
จนละลาย จนข้นเหนียวและดำ ฉันเทมันลงไปในถังหลายถังและที่เหลือก็เอาไปทิ้งที่บ่อบำบัดน้ำเสีย
ส่วนเลือดในอ่างนั้นฉันรอมันจนกว่าจะมันจะจับตัวเป็นก้อน อบแห้งในเตาอบ ผสมมันกับแป้ง น้ำตาล
ช็อกโกแลต นม ไข่ ตามด้วยมาการีน นวดส่วนผสมทั้งหมดด้วยกัน ฉันทำเค้กชากรอบจำนวนมาก
และเอาให้ผู้หญิงที่มาเยี่ยมบ้าน แม้แต่ฉันและเซปเปก็ยังกินด้วยกัน "




นอกจากนั้นลีโอนาร์ด้ายังได้ถอนเงินฝากออมทรัพย์ของเอมีลินดา เป็นจำนวนเงิน 30,000 ลีรา(หน่วยเงินตราอิตาลี)
เพื่อเอามาเป็นเงินของเธอ พร้อมด้วยสบู่ที่ได้จากศพของเหยื่อที่มีปริมาณมากพอสำหรับใช้หกเดือน


ต่อมาวันที่ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 1940 ลีโอนาร์ด้าได้สังหารเหยื่อคนที่สองของเธอ นั่นก็คือ ฟรานเซสก้า โซวี่
โดยเธอได้อ้างว่าได้พบเหยื่อรายนี้ที่งานโรงเรียนในปิอาเซนซ่า เช่นเดียวกับเหยื่อรายแรกเธอได้บอกให้เหยื่อ
เขียนโปสการ์ดแล้วส่งไปเพื่อนว่าเธออยู่นอกเมือง ก่อนที่จะวันที่เธอทำการฆาตกรรม เธอบอกให้เหยื่อให้
ฝากเงินไว้กับเธอ จากนั้นก็มอมเมาเหยื่อด้วยไวน์แล้วใช้ขวานจามจากนั้นร่างกายของเหยื่อก็ทำเช่นเดียว
กับเหยื่อรายแรก และเช่นเดียวกันลีโอนาร์ด้าได้เงินจากการทำฆาตกรรมครั้งนี้เป็นจำนวน 3,000 ลีรา 
พร้อมกับสบู่ที่มีศพของเหยื่อในปริมาณมากพอที่จะนำไปแจกเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้สบาย

เหยื่อรายสุดท้ายของลีโอนาร์ด้าคือเพื่อนบ้านชื่อเวอร์จิเนีย แคคซีออพโป อดีตนักร้องโอเปร่าที่เคยร้อง
ในโรงละครที่มีชื่อเสียงอย่างลาสกาล่า โดยเธอได้หลอกล่อเหยื่อของเธอโดยการอ้างว่าจะพาไปทำงาน
เป็นเลขานุการของผู้จัดการอุปรากรในฟลอเรนซ์  และแล้ว วันที่ 30 กันยายน 1940 ลีโอนาร์ด้าก็ได้
ฆ่าเวอร์จีเนีย เช่นเดียวกับเหยื่อสองรายก่อนหน้า เธอได้นำร่างของเธอเป็นสบู่ และนี้คือคำให้การของเธอ

เธอได้จบชีวิตเธอเหมือนกับอีกสองคนที่แล้ว ฉันใส่ไขมันและเนื้อสีขาวของเธอลงไปในหม้อแล้วเพิ่ม
โคโลญลงไปหนึ่งขวด และหลังจากที่ใช้เวลานานจาการต้ม ฉันก็ได้ทำครีมสบู่ที่น่าพอใจ
ฉันได้ให้(ช๊อกโกแลตบาร์)ที่มันเข้ากันกับเค้กกับพวกเพื่อนบ้าน ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะหวานมาก



 
เวลาต่อมาพี่สะใภ้ของเวอร์จิเนียเริ่มสงสัยการหายตัวแบบกะทันหันของเธอต่อมาเธอได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่
ตำรวจในเรจโจ เอมิเลีย ทำการตรวจสอบ ส่งผลทำให้ลีโอนาร์ด้าถูกจับกุมทันที พร้อมหลักฐานคือเสื้อผ้า
รองเท้าของเหยื่อ กระดูกของมนุษย์ในบ้านที่ขาวโพลงซึ่งเธอให้การให้หลังว่ากระดูกเหล่านี้เป็นส่วนที่เหลือ
จากการต้มในหม้อ ลูกชายคนโตก็ถูกจับกุมฐานสมรู้ร่วมคิดกับเธอด้วย หากแต่ต่อมาไม่นานเขาก็ปล่อยตัว

ลีโอนาร์ด้ายอมรับผิดฐานการฆาตกรรมทั้งหมด เธอถูกนำตัวมาขึ้นศาลของเรจโจ เอมิเลีย และในสัปดาห์
สุดท้ายก่อนจะอ่านคำพิพากษาเธอยืนจ้องคอกพยานอย่างใจเย็นมือจับราวกั้นด้วยความละเอียดอ่อน
ก่อนที่พนักงานอัยการซักถามรายละเอียดเธอก็จ้องมองด้วยสายตาที่ดุร้ายก่อนที่จะพูดอย่างภาคภูมิใจ
เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมของตนว่า ฉันใช้ทัพพีทองแดง ตักกากไขมันออกจากหม้อต้มน้ำ

 
   
ลีโอนาร์ด้า เชียนซุลลี่ ในชั้นศาล


 
ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1946 เวลา 13:15 ศาลก็พิพากษาเธอว่ามีความคิดฆ่าเหยื่อสามรายจริง
และต้องรับโทษจำคุกสามสิบปี เมื่อลีโอนาร์ด้าได้ยินคำพิพากษาดังกล่าวเธอก็ยิ้มและตะโกนไปที่ช่างภาพว่า
สัตว์ประหลาด ถ่ายภาพซะ


ระหว่างที่จำคุกอยู่นั้นลีโอนาร์ด้าได้เขียนอัตชีวประวัติเธอในชื่อหนังสือ คำสารภาพของลีโอนาร์ด้า
( Confessions of a Bitter Soul ) เนื้อหายาวว่า 700 หน้า โดยเนื้อหาเป็นการเล่าประวัติชีวิต
ของเธอและอธิบายรายละเอียดในการก่ออาชญากรรมของเธอว่าทำไมเธอถึงได้ฆ่าพวกเขา แต่กระนั้น
หลายคนเชื่อว่าหนังสือเล่มดังกล่าวเขียนและเรียบเรียงโดยนักกฎหมายโดยวัตถุประสงค์ให้สังคม
เห็นอกเห็นตัวเธอมากกว่า

ลีโอนาร์ด้าเสียชีวิตจากโรคลมชักสมองในบ้านอนาถาอาชญากรปอซซูโอลิ เมื่อ 15 ตุลาคม 1970 ศพ
ของเธอถูกฝังท่ามกลางหลุมศพจำนวนมากจนเทียบแยกไม่ออกแล้วว่าหลุมฝังศพเธออยู่ตรงไหน



ทุกวันนี้เรายังสามารถเห็นอุปกรณ์ทำสบู่ หม้อต้ม มีดหั่นและค้อนของลีโอนาร์ด้าได้ ในชั้นวางอุปกรณ์
เครื่องมือของฆาตกรคนอื่นๆ ที่พิพิธภัณฑ์อาชญาวิทยาในกรุงโรม

 
credit :: Cammy@Dek-d
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 กุมภาพันธ์ 2015, 14:49:47 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

PLAYBOY ขั้นเทพ

  • V.I.P.
  • อาชาคะนองศึก
  • *
  • กระทู้: 1345
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +6/-2
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 04 มีนาคม 2015, 22:13:21 »

ขอบคุณครับ
***** PLAYBOY ขั้นเทพ #  PRESENTS   การบ้านสะท้านปฐพี   ==> ความมันส์!..กำลังจะบังเกิดแล้วครัชพี่น้อง *****

parkkerbowl

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 112
  • คะแนนจิตพิสัย +1/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Leonarda Cianciulli นักทำสบู่แห่งคอร์เรจจิโอ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 15 มีนาคม 2015, 14:13:12 »

ขอบคุณที่แบ่งปันนะครับ