ภาคอุตสาหกรรมรับสมัครลดลงรอเศรษฐกิจโลกฟื้นตกงานชะลอ
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้ปรับลดปริมาณการรับพนักงานใหม่อย่างมากตามกำลังการผลิตที่ลดลง 30-40% โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์รับพนักงานใหม่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 68% ยานยนต์ลดลง 27.8% ปิโตร เคมีลดลง 32% การเกษตรแปรรูป ลดลง 36.6% และบริการลดลง 19.6% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อกลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ 300,000-400,000 คนหางานไม่ได้
ทั้งนี้ผู้จบการศึกษาใหม่ 500,000-600,000 คน อาจมีงานทำเพียง 200,000 คนหรือ 40% ในกรณีที่แข่งขันแล้วชนะกลุ่มผู้ที่ตกงานมาก่อนหน้านี้ ที่เหลือต้องศึกษาต่อหรือตกงาน ผิดกับสถานการณ์ปกติที่ผู้จบการศึกษาใหม่จะมีงานทำสูงถึง 80%
?แม้หลายบริษัทจะปลดคนงานออกแต่ก็ยังมีบริษัทอีกมากที่รับพนักงานเพิ่มแต่จากข้อมูลสมาชิกพบว่าปีนี้จะรับพนักงานใหม่น้อย 100,000-200,000 คน ซึ่งเป็นห่วงเด็กใหม่ที่ต้องหางานทำได้ลำบากดังนั้นเอกชนหวังว่าประเทศคู่ค้าไทยจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่ดีเพื่อทำให้การส่งออกไทยได้รับอานิสงส์ด้วย?
นายขัติยา ไกรกาญจน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สอท. กล่าวว่า ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมไฟฟ้าฯ โดยผู้ประกอบการเริ่มปรับลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่เดือน พ.ย. 51 เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าลดลง 20-50%
ขณะเดียวกันหลายรายจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานชั่วคราว และพนักงานทดลองงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการทำงานล่วงเวลา หากภายใน 3-6 เดือนต่อไปยังไม่มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอีก อาจต้องลดเวลาการทำงานลง และเลิกจ้างงานตามมา
สำหรับในปี 52 คาดว่ายอดส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าฯ มีมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท เท่าปี 51 ส่วนไตรมาสแรกของปี 52 ยังไม่มีคำสั่งซื้อเข้าเลย แต่คาดว่าคำสั่งซื้อน่าจะเข้ามาในไตรมาสที่ 2
นายขัติยา กล่าวต่อว่า ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนให้สถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น เพื่อเสริมสภาพคล่องของกิจการ พร้อมทั้งให้ภาครัฐเข้มงวดสินค้านำเข้าที่ด้อยมาตรฐาน และการส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าไทย ทั้งนี้ในปัจจุบันไทยนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 200,000 ล้านบาทต่อปี และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องอีก 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี เนื่องจากสินค้าไทยมีราคาสูงกว่าสินค้านำเข้า
นายหลักชัย กิตติพล นายกสมาคมยางพาราไทย กล่าวว่า คำสั่งส่งมอบยางพาราล่วงหน้าระยะยาว 3-6 เดือนในไตรมาสแรกของปี 52 ลดลงจากปีก่อน 30% ส่วนแนวโน้มการส่งออกยางทั้งปีจะขยายตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าส่งออกที่ 2.4 ล้านตัน กว่า 2 แสนล้านบาทลดจากปีก่อนที่ส่งออกได้ 2.7 ล้านตัน มูลค่า 2.6 แสนล้านบาท
นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธาน สอท. กล่าวว่า เอกชนเป็นห่วงปัญหาการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก เนื่องจากคำสั่งซื้อลดลง 30-40% ซึ่งตรงนี้จะส่งผลให้ภาคการผลิตลดลงด้วย ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดการจ้างงานให้มากที่สุด.