-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion)  (อ่าน 1705 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18393
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว
(Spontaneous human combustion)

 


ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion) คุณรู้จักปรากฏการณ์ไฟลุกทั่วร่างหรือเปล่าครับ
ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วนี้เป็นศัพท์มาจากงานเขียนของ ไมเคิล แฮร์รินสัน เขาได้บันทึกและนำมาเขียนเป็นหนังสือที่ชื่อว่า
ไฟจากสรวงสวรรค์ หรือ ท่านปลอดภัยเพียงใดจากไฟ (Fire From Heaven, Are You From Burning)
ตีพิมพ์ในลอนดอน โดยซิดวิน แอนด์ แจ๊คสัน เมื่อปี 1976


ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion (SHC) หรือแปลเป็นไทยๆ (เอาแบบที่แปลตรงๆ ตัวเลยนะ)
ก็ได้ประมาณว่า การสันดาปของมนุษย์อย่างฉับพลัน หรือแปลให้เข้าใจเป็นภาษาชาวบ้านก็คือเป็น ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้
ที่จู่ๆ คนบางคนถูกไฟไหม้ลุกทั่วร่าง ซึ่งเกิดขึ้นกว่าร้อยรายที่เกิดปรากฏการณ์นี้ จะมีรูปแบบคล้ายๆ กันคือ ร่างกายของผู้เคราะห์ร้าย
จะถูกเผาไหม้ไปเกือบจะเป็นเถ้าถ่านหมดจด โดยที่ตัวผู้เคราะห์ร้ายมักจะอยู่ในเคหะสถาน และบางครั้งจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมๆ ของควัน
ในห้องที่เกิดเหตุ

ที่น่าประหลาดใจคือ บางครั้ง แม้ว่าบางส่วนของร่างกายจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านชนิดจำไม่ได้ เช่น ส่วนหัว เป็นต้น แต่ว่าส่วนอื่นๆ
ของร่างกายเช่น มือ เท้า หรือเสื้อผ้า กลับไม่มีร่องรอยการถูกเผาไหม้แต่อย่างใด และสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุหรือแม้แต่เสื้อผ้า
ที่สวมใส่อยู่ กลับเหมือนกับไม่มีอะไรไปแตะต้องเลย ไม่มีแม้แต่รอยไหม้ ของไฟสักนิด บางกรณีที่เกิดขึ้น อวัยวะภายใน
ของผู้เคราะห์ร้ายจะไม่มีร่องรอยการถูกไฟเผาเลย ในขณะที่ภายนอกถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหมด แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เกิด
ปรากฏการณ์นี้แล้ว ผู้เคราะห์ร้ายจะเสียชีวิตทุกคนนะครับ มีบางคนที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ และ    


เออ.........มนุษย์เรารู้จักปรากฏการณ์ครั้งแรกเหตุการณ์ไฟลุกเริ่มแรกของโลกที่มีการบันทึกนั้น บันทึกไว้ว่าครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1500
หรือราว 507 ปีก่อน ในยุคราชินีโบน่า สฟอรีซ่า ปกครองเมืองมิลาน แห่งอิตาลี มีอัศวินพิทักษ์บัลลังก์คนหนึ่ง ชื่อโปโลมัส วอร์สติอัส
ขณะที่เฝ้าราชินี ในห้องโถง ปราฏว่าจู่ๆ เขาก็เกิดไฟลุกไหม้ท่วมตัว ทุกคนในที่นั้นตะลึง ไม่รู้จะช่วยยังไงดี ส่งผลให้อัศวินนั้นถูกย่างศพจนตาย

   
หลายคนมักเรื่องของ spontaneous human combustion เป็นเรื่องขี้จุ๊เบ่เบ๊ ขี้ฮกตาราร่า แต่ปัญหาก็คือ เรามีคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ
ที่ผู้เคราะห์ร้ายถูกเผากลายเป็นเถ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุจริงๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!?




ศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ทราบวันเดือนปี รู้แต่ว่าตอนเกิดเหตุ เคาน์เตส คอร์นีเลีย ดิ แบนดิ ท่านเคาน์เตสแห่งซิเซนา อิตาลี สุภาพสตรีสูงศักดิ์
อายุ 62 ปีผู้นี้ถูกไฟไหม้ และบรรดาเพื่อนบ้านเห็น ควันสีเหลืองสยอง ล่องลอยออกจากบานประตูของท่านเคาน์เตส วันรุ่งขึ้นสาวใช้เข้าไปดู
พบว่าห่างจากเตียง 4 ฟุต มีขี้เถ้าอยู่กองหนึ่ง ขาของท่านเคาน์เตสซึ่งใส่ถุงเท้าอยู่ ที่ไม่มีไฟไหม้อยู่สมบูรณ์ อากาศเต็มไปด้วยเขม่า
แต่เฟอร์นิเจอร์และพื้นห้องกลับไม่มีรอยไหม้สักนิด ที่น่าแปลกคือเทียนสองแท่งที่วางบนโต๊ะข้างเตียง เทียนน่ะหลอมละลาย แต่ไส้เทียนนี้สิ
ไม่มีรอยไหม้แต่อย่างใด

ฤดูหนาว ปี 1835  มิสเตอร์ เอช. เป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแนชวิลล์ มลรัฐเทนเนสซี ในขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้าน
ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ขาขวา เขาเห็นไฟพุ่งออกจากขาตรงที่เจ็บปวดแปลบนั้น เขาเอามือตบ พยายามดับไฟแต่ไม่สำเร็จ จนต้องเอามือ
ประกบปิดเพื่อไม่ให้มีออกซิเจนมากพอสำหรับการลุกไหม้ ซึ่งได้ผลมันดับลงได้ ผลคือกางเกงในเขาถูกไฟไหม้เป็นรูเล็กๆ แต่กางเกงขายาว
ที่เขาใส่อยู่กลับไม่มีรอยไหม้ใดๆ แต่ขาเกิดบาดแผลจนตั้งรักษาอยู่นานกว่าจะหาย

วันที่ 18 พฤษภาคม 1957  แอนนา มาร์ติน เป็นชาวเมืองเวสต์ ฟิลาเดลเฟีย อายุ 69 ปี ถูกไฟไหม้ แต่ถูกไฟไหม้เฉพาะแขนทั้งสองข้าง
และศีรษะเท่านั้น โดยไม่ไหม้บริเวณลำตัว และที่น่าประหลาดคือรองเท้าของนาง ไม่ได้รับความเสียหายเลย

วันที่ 14 ธันวาคม 1957  บิลลี โธมัส ปีเตอร์สัน ชายหนุ่มอายุ 27 ปี เป็นชาวเมืองปอนเตียก รัฐมิชิแกน อยู่ดีๆ ก็ถูกไฟไหม้ โดยไหม้
ที่แขนซ้าย อวัยวะเพศ และบางส่วนบนใบหน้า แต่ขนตามร่างกาย ขนคิ้ว ผม และเสื้อผ้าของเขากลับไม่ถูกไฟไหม้

ในปี ค.ศ. 1938  ฟิลลิส นิวคอมบ์ (Phyllis Newcombe) หญิงอายุ 22 ปี กำลังปลีกตัวออกจากงานเต้นรำที่ Shire Hall
ในเมือง Chelmsford ประเทศอังกฤษ ขณะที่เธอกำลังลงบันไดอยู่นั้น อยู่ๆ เสื้อผ้าเธอก็ติดไฟโดยไร้สาเหตุ จากนั้นเธอก็วิ่งย้อนกลับไป
ยังห้องบอลลูม แล้วก็ล้มลง หลายคนพยายามเข้าไปช่วยเธอ แต่เธอก็สิ้นใจที่โรงพยาบาล แม้จะมีคนกล่าวว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากบุหรี่
หรือไม้ขีดไฟ ที่โยนขึ้นไปหาเธอขณะที่เธอลงจากบันได แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ ยืนยันเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ L.F. Beccles
ได้กล่าวถึงคดีนี้ว่า "จากประสบการณ์ของผม ผมไม่เคยเจอคดีอะไรที่เป็นปริศนามากขนาดนี้มาก่อนเลย"

วันคริสต์มาส อีฟ ปี 1985 ในเมืองเซเนคา รัฐอินลินอยส์ อยู่ดีๆ ก็เกิดไฟไหม้ที่สองผัวเมียรูนีย์ เริ่มจากนางแพทริค รูนีย์ถูกไฟไหม้ทั่วร่าง
ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เธอถึงแก่ความตาย ส่วนสามีเธอตายเพราะสำลักควัน 

เดือนมกราคม ปี1932 ที่เมืองบราเดนโบโร่ รัฐมอธโรไลน่า อเมริกา อยู่ดีๆ นางชาร์ลส วิลเลี่ยมสันเกิดไฟลุกไหม้ตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยู่ใกล้ไฟเลย ยอกขสกยี้ไฟยังลุกไหม้ขึ้นที่เตียงกับผ้าม่านอีกห้องที่ไม่มีใครอยู่ด้วย เมื่อไฟสงบลง เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการ
ตรวจสอบทั้งหมดประหลาดใจเมื่อไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟลุกขึ้นเลย ผู้ประสบเหตุเล่าว่าสีของเปลวไฟนั้นเป็นสีฟ้าคล้ายไฟที่พ่นจาก
ท้ายเครื่องบินไอพ่น ไม่มีกลิ่นและควัน

เดือนมกราคม 1943 อัลเลน เอ็ม สมอล ชายวัย 52 ปี ร่างกายเกิดไฟไหม้จนเสียชีวิต ไฟลุกลามไหม้บนพื้นจนเกรียม แต่ไม่ได้ลุกลาม
ไหม้ส่วนอื่นๆ ของบ้าน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า แก๊สในบ้านยังอยู่ในสภาพปกติ ไม่ได้จุดไฟไว้เลย



แต่กรณีที่ดังที่สุดในเรื่องนี้มี 6 เรื่องด้วยกันคือ
1. Robert Francis Bailey
2. John Irving Bentley
3. George I. Mott
4. Mary Reeser
5. Jeannie Saffin
6. Henry Thomas

   
กรณีที่ 1 วันที่ 13 กันยายน 1967 เวลา 5 :21 มีผู้พบเห็นไฟไหม้สีน้ำเงินลุกไหม้ผ่ายหน้าต่างของ Robert Francis Bailey
บนถนน Lambeth โอคแลนด์  49 ที่ประเทศอังกฤษ และพบร่างของเขาเหลื่อส่วนท้องแล้วนิ้วมือ 4 นิ่วเท่านั้น และรอบๆนั้น
ถูกไฟเผาจนไหม้
   
กรณีที่ 2 วันที่ 5 ธันวาคม 1966 ดอกเตอร์จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์ (John Irving Bentley) รัฐเพนซิลวาเนีย เมืองเคาวเดอร์สปอร์ท
นายกอสเนลไปที่บ้านของอดีตหมอ จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์ (92) เพื่อดูมีเตอร์แก๊สแทนเจ้าของบ้านซึ่งเดินไม่สะดวก เขาพบว่า
บันไดลงไปห้องใต้ดินมีควันดำสีออกน้ำเงินลอยคลุ้งและมีกลิ่นเหม็นฉุนอบอวลไปหมด ด้วยความสงสัย เขาจึงเข้าไปยังห้องน้ำ
ซึ่งเป็นที่มาของควัน ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบกับภาพที่เขาไม่สามารถลืมได้ชั่วชีวิต บนพื้นห้องน้ำมีรูขนาดกว้าง 75 เซนติเมตร
ยาว 120 เซนติเมตร และที่ข้างรูนี้เองเขาก็พบขาของเบนทเลย์ซึ่งกลายเป็นสีคล้ำราวกับขาหุ่นตกอยู่ ส่วนอื่นๆของร่างกายนั้น
กลายเป็นเถ้าถ่านตกอยู่ในห้องใต้ดินเบื้องล่าง
   
กรณีที่ 4 วันที่ 2 กรกฎาคม 1951 ที่รัฐฟลอริด้า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก( St. Betersburg) ตอนเช้าตรู่ เวลา 5.00 น.ของ
คุณนายคาร์เพนเตอร์ เจ้าของห้องที่เช่า ได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยที่ห้องนอนของแมรี่ รีเซอร์ (The Mary Reeser Cinder Lady)
อายุ 61 ปี ตอนแรกเธอ แต่เธอเข้าใจว่าคงเป็นกลิ่นไหม้ของปั๊มน้ำในโรงรถ เธอออกจากห้องไปปิดปั๊มน้ำและกลับไปนอนเหมือนเดิม
เวลา 8.00 น. เธอถูกปลุกอีกครั้งเมื่อเด็กส่งโทรเลขมาเคาะประตูให้ส่งโทรเลขให้แม่ เธอเลยเดินเข้าไปกดกริ่งที่ห้องแมรี่ เรียกแล้ว
ก็ไม่มีเสียงตอบ และเมื่อจะเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าลูกบิดประตูร้อนจัดจนลวกมือ

คุณนายรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนงานเป็นเพื่อนบ้านหญิงอีก 2 คน ซึ่งทำงานกันอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อพวกเขาพังประตูเข้าไป
ในห้องได้ก็พบสิ่งที่เหลือเชื่อ เมื่อพบร่าของแมรี่ รีเซอร์ ที่เก้าอี้ที่ถูกเผาไหม้จนเหลือเศษซากของโครงสปริงและโลหะ พร้อมกับ
วงกลมสีดำรอบๆ ตัวเธอ หัวของเธอถูกเผาจนเหลือขนาดเท่าลูกเบสบอล ส่วนอื่นๆ ที่ยังเหลือก็มีแค่กระดูกสันหลัง และเท้าข้างซ้าย
พบร่องรอยของไฟน้อยมาก แต่ในคดีนี้ตำรวจสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้ที่สาเหตุจะเกิดจากบุหรี่ เนื่องจากพบบุหรี่ตกอยู่
และมันสามารถที่จะติดไฟไปยังชุดนอนของเธอ ที่ทำจากใยสังเคราะห์ acetate ได้ (เป็นใยสังเคราะห์ที่ติดไฟได้) 

แต่ที่ยัง งง คือ นางแมรี่เคยหนัก 170 ปอนด์ ตอนนี้ซากที่เหลือรวมกันแล้วไม่เกิน 10 ปอนด์ ทั้งๆ ที่ควรมากกว่านั้น

ส่วนอวัยวะที่สมบูรณ์ที่ยังหลงเหลือคือเท้าซ้ายที่ยังมีรอยเท้าแตะสวมตืดอยู่มีก้อนดำๆ ก้อนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นตับของเธอ
และเครื่องใช้พลาสติกทุกชิ้นแม้แต่ในห้องน้ำถูกบิดเบี้ยวเสียรูปทรงเพราะความร้อน และผนังพลาสติกก็ละลายเพราะถูกความร้อน
ของไฟกับนาฬิกาที่หยุดเดินเวลา 40.20 น. ส่วนจุดอื่นๆ นอกจากนั้นกลับไม่มีร่องรอยของไฟไหม้สัมผัสเลย



กรณีที่ 5 Jean Lucille "Jeannie Saffin" วันที่ 15 กันยายน 1982 จีนนี่ แซฟฟิน (Jeannie Saffin) อายุ 61 ปี ซึ่งพักรักษาตัว
โรคทางสมองอยู่กับน้องสาว กำลังนั่งอยู่กับคุณพ่อวัย 82 ปีของเธอที่บ้านในเมือง Edmonton ตามคำบอกเล่าของคุณพ่อของเธอ
เขาบอกว่าได้เห็นแสงไฟแว่บผ่านตาของเขา และเมื่อเขาหันกลับไปมองลูกสาวของเขา เขาก็พบว่าท่อนบนของหล่อนลุกเป็นไฟ
เขาและลูกเขยนาม โดนัลด์ คาร์โรลพยายามที่จะดับไฟ แต่ทว่า จินี่ก็เสียชีวิตจากสาเหตุของการถูกไฟคลอกระดับ 3

หลังจากเข้าโรงพยาบาลได้ 1 สัปดาห์ โดนัลด์ คาร์โรลซึ่งเป็นน้องเขยกล่าวว่า จีนนี่มีรอยไหม้เพียงที่ส่วนศีรษะ แขนและบางส่วนของ
เสื้อที่ใส่อยู่โดยที่ไฟไม่ได้ลามไปที่อื่น โดยเฉพาะใบหน้าและภายในปากนั้นเป็นแผลไฟไหม้อย่างหนัก และในที่เกิดเหตุไม่มีเชื้อไฟอยู่เลย
และไม่มีควัน หรือความเสียหายจากไฟภายในห้องสักนิด "ไฟมันออกมาจากปากของเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นมังกร และมันก็ส่งเสียงดังมาก"

แน่นอนปรากฏการฯนี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้อยู่เฉย และได้พยายามจะหาเหตุผลเพื่อมาอิบายเหตุการณ์นี้ ทำให้มันดูเป็นเรื่องที่
ไม่เหนือธรรมชาติ จนในที่สุดก็ได้ทฤษฏีต่างๆ มากมายมาอธิบาย...เช่น

   
ทฤษฎีของการเผาไหม้ของเทียนไข หรือเราจะเรียกว่าทฤษฎีไส้เทียนก็ว่าได้ละมั้ง เราจะเห็นว่าเวลาที่เราจุดเทียนไขนั้น
ไส้เทียนมันจะลุกไหม้ตลอดเวลา ไม่มีดับ... ที่มันเป็นยังงี้ก็เพราะขี้ผึ้งที่อยู่รอบๆ ไส้เทียนนั่นแหละครับ ขี้ผึ้งนั้นทำมาจากไขมัน
ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ไส้เทียนเกิดการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ในร่างกายคนเราก็มีไขมัน ที่ทำหน้าที่เป็นวัตถุที่ติดไฟได้ และมีคุณสมบัติ
คล้ายขี้ผึ้ง ในขณะที่บรรดาเสื้อผ้า และขน เส้นผม ก็เปรียบเสมือนไส้เทียน อีตอนที่ร่างกายเผาไหม้ ไขมันในร่างกายก็จะละลาย
ด้วยความร้อนซึมเข้าสู่เสื้อผ้า ทำให้กลายเป็นเหมือนขี้ผึ้งที่ซึมเข้าสู่ไส้เทียน ที่กันไม่ให้ไส้เทียนไหม้เป็นเถ้า และทำให้ไส้เทียน
ลุกไหม้ตลอดเวลา...


นักวิทยาศาสตร์ว่ากันว่า นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้รอบๆ ตัวของผู้เคราะห์ร้ายไม่มีร่องรอยความเสียหายจากไฟ ทีนี้ก็มีคำถามอีกว่า
ในบางรายที่ศพของผู้เคราะห์ร้ายยังมีบางส่วนอยู่ในสภาพดี เช่น มือ หรือเท้า ล่ะ?!? มีผู้ให้คำตอบว่าน่าจะเป็นเรื่องของการไล่ระดับ
ของความร้อนครับ โดยมีแนวคิดที่ว่าอุณหภูมิของร่างกายของคนที่นั่งนั้น ส่วนบนสุดจะร้อนกว่าส่วนล่าง สุดท้ายคือคำตอบต่อคำถามที่ว่า
ไอ้ของที่มีสภาพคล้ายๆ จารบีเหนียวๆ ที่เกาะติดอยู่แถวๆ ผนังหรือเพดาน หลังจากเกิดปรากฏการณ์ มันคืออะไร...



เขาตอบง่ายๆ ตามทฤษฎีเลยว่า มันก็คือ ไขมัน ที่ออกมาจากตัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง จากทฤษฎีดังกล่าว
เราอาจจะแบ่งสภาวะการเกิด spontaneous human combustion แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นก็


1. ในขั้นแรกผู้เคราะห์ร้ายเกิดอะไรซักอย่างทำให้หมดสติ ไม่รู้สึกตัวไป แล้วเสื้อผ้าก็เกิดได้รับความร้อนจากภายนอก ทำให้เกิดการลุกไหม้
2. ความร้อนที่เกิดขึ้นก็ไปละลายไขมันในร่างกาย ให้ไหลออกมาซึมเข้าสู่เสื้อผ้า ทำให้มีสภาพเหมือนไส้เทียนที่ชุ่มไปด้วยเนื้อเทียนไข
3. ร่างกายก็จะได้รับความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ไขมันนั้นเป็นเวลานานมากๆๆๆๆๆ จนทำให้ทั้งเสื้อผ้า และร่างกายกลายเป็นขี้เถ้า
โดยสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมีคำตอบอื่นๆ


ตามมาอีกมากมาย เช่น ในช่วงปี 1800  นั้น นักเขียนชื่อดัง Charles Dickens ได้นำปรากฏการณ์นี้มาเป็นจุดขายในนิยายชื่อ
"Bleak House" ของเขา โดยตัวละครชื่อ Krook เป็นคนที่ติดเหล้าสุดๆ แล้วเมื่อมีปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายมากเกินพิกัด
ก็เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา... นี่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของนักเขียน เกี่ยวกับสาเหตุการเกิดปรากฏการณ์


ก๊าซมีเธน (methane) ซึ่งเป็นก๊าซไวไฟที่เกิดจากการย่อยสลายของพืช...ไอ้เจ้าก๊าซตัวนี้มันอาจจะเกิดขึ้นภายในลำไส้ของเราได้
(เพราะเราก็กินพืชนิ) และเมื่อมันเกิดปฏิกิริยาบางอย่างกับเอนไซม์ (โปรตีนภายในร่างกาย ที่ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี)
ภายในร่างกาย มันก็เลยเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น... แต่อันนี้ก็ยังไม่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ถูกต้อง เนื่องจากสภาพของผู้เคราะห์ร้ายนั้น
ร่างกายได้รับความเสียหายไปถึงภายนอกร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่อวัยวะภายใน ซึ่งทำให้ทฤษฎีนี้ฟังแล้วดูขัดๆ อีกทฤษฎีหนึ่ง
พูดถึงเรื่องของไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายหรือเกิดจากแรงกระทำจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก

นอกจากนี้ก็มีนาย Larry Arnold ที่เหมาเอาเองว่าตัวเองคือผู้เชี่ยวชาญด้านปรากฏการณ์ spontaneous human combustion
กล่าวว่า มันเกิดจากองค์ประกอบของอะตอม ที่พบใหม่ที่ชื่อว่า pyroton (pyro เป็นคำกรีกมีความหมายว่า ไฟ) ซึ่งถ้าทำปฏิกิริยา
กับเซลล์ ก็จะเกิดการระเบิดขนาดยุ่มๆ ได้... แต่ประทานโทษทีครับ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันได้ว่า ไอ้ pyroton
นี้มันมีจริง อย่างไรก็ดี เราก็ยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ถึงสาเหตุของการเกิดปัญหานี้

   
อุบัติเหตุ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้เคราะห์ร้ายที่เจอปรากฏการณ์นี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสิงห์รมควัน หรือพวกที่ชอบ
สูบบุหรี่นั่นเอง และก็มักพบว่าตายในขณะที่หลับโดยยังจุดบุหรี่ ซิการ์ หรือไปป์เอาไว้ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุได้อีกทางหนึ่งครับ
อย่างในกรณีของแมรี่ รีเซอร์ที่ตำรวจสรุปคดีนี้ว่าเดจากคีบบุหรี่ที่จุดไฟในมือแบ้วม่อยหลับไปตนไฟลุกติดเสื้อผ้าของนาง ซึ่งหลายๆ
คนต่างรู้ว่าแมรี่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่อยู่แต่เดิมแล้ว ประกอบกับก่อนที่เธอจะถูกพบเป็นเถ้าถ่านอยู่ในห้องพัก แมรี่เพิ่งจะโทรศัพท์คุยกับ
ลูกชายว่าเธอได้ทานยานอนหลับไปแล้ว 2 เม็ด และจะทานอีก 2 เม็ดก่อนเข้านอน

จึงเป็นไปได้ว่า แมรี่อาจจะเผลอหลับระหว่างที่เธอกำลังสูบบุหรี่อยู่และทำบุหรี่ตกใส่เสื้อ นอกจากนี้จากคำให้การของผู้ที่เห็นเธอ
เป็นครั้งสุดท้ายกล่าวว่า แมรี่ใส่ชุดนอนและเสื้อคลุมซึ่งล้วนทำจากวัสดุซึ่งติดไฟง่าย และเธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวนซึ่งยัดไส้ด้วยวัสดุ
ที่ติดไฟง่ายเช่นกันอีกด้วย อีกประการหนึ่ง มักจะกล่าวกันว่าภายในห้องไม่ถูกเพลิงไหม้เสียหาย

แต่ในความจริงแล้ว ไฟได้ไหม้เก้าอี้ โต๊ะข้างเก้าอี้ และโคมไฟไปจนหมด ในตอนที่ค้นพบศพนั้น เพดานยังลุกไหม้อยู่ด้วยซ้ำ
และจริงอยู่ที่ร่างกายของแมรี่ถูกไหม้เป็นเถ้าถ่านจนแทบไม่เหลือกระดูก แต่ที่บอกว่ากระโหลกของเธอหดตัวจนมีขนาดเท่ากำปั้นนั้น
มีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่จริง เนื่องจากในหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวนี้อยู่กล่าวเพียงว่า"วัตถุทรงกลมซึ่งน่าจะเป็นกระโหลกศีรษะ"
(ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นกระโหลกจริงๆ)

นักวิจัยชี้ว่าเป็นไปได้ว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นกระดูกส่วนฐานกระโหลกที่เชื่อมกับคอก็เป็นได้ มักจะมีการอ้างว่า การจะเผาร่างกาย
มนุษย์ให้เหลือแต่เถ้าถ่านนั้นต้องใช้อุณหภูมิ 1370 องศาเซลเซียสขึ้นไปเผาติดต่อกันเป็นเวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ที่จริงแล้วใช้
อุณหภูมิ 870 - 980 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก็สามารถเผาให้เป็นเถ้าถ่านได้แล้ว และถึงจะเป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่า หากใช้
เวลาหลายชั่วโมงก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน อย่าว่าแต่แมรี่ถูกเผาอยู่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ


นอกจากนี้ ไฟซึ่งลุกไหม้ในสถานที่ปิดนั้น จะไม่โหมลุกใหญ่โตเนื่องจากมีออกซิเจนน้อย แต่จะลุกไหม้อยู่ที่ต้นเพลิงทีละน้อยเท่านั้น
ในกรณีของแมรี่นี้ ห้องของเธอเป็นพื้นคอนกรีตจึงมีสภาพปิดตายและทำให้ไฟไม่ลามไปยังที่อื่นมากนัก


เรื่องเสริมแต่ง อย่างกรณีของจีนนี่ที่พ่นไฟออกจากปากและในปากของเธอมีแผลไฟไหม้ด้วย แต่ตามบันทึกที่หลงเหลืออยู่จริง
แพทย์ชันสูตรได้กล่าวว่า"มีขี้เถ้ามีที่จมูกก็จริง แต่ในปากไม่มีแผลใดๆ" นอกจากนี้ ยังไม่มีรอยแผลไฟไหม้ภายในร่างกายอีกด้วย
ถ้าเช่นนั้นเรื่องจินนี่พ่นไฟมาจากที่ไหน? ที่จริงแล้วรายละเอียดดังกล่าวถูกเพิ่มเติมขึ้นในการสัมภาษณ์โดนัลด์ คาร์โรลในอีก 12 ปี
ให้หลังจากคดี มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเรื่องที่แต่งเติมขึ้นโดยนักข่าวคอลัมภ์อีกที ส่วนเชื้อไฟนั้น ตอนที่เกิดเหตุ จีนนี่นั่งอยู่ในครัว
กับแจ๊ค แซฟฟินซึ่งเป็นพ่อ ก่อนเกิดเหตุ แจ๊คกำลังสูบไปป์และหน้าต่างก็เปิดอยู่ จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า ลมได้พัดเอาขี้เถ้าจากไปป์
ไปติดยังเสื้อของจีนนี่ และจากคำให้การของตำรวจซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุว่า"เมื่อตอนที่ผมไปถึง เสื้อของเธอยังมีไฟลุกอยู่"
หมายความว่าที่ไฟไหม้นั้น ไม่ใช่จากหน้าของเธอ แต่เป็นจากเสื้อของเธอมากกว่านั่นเอง


เรื่องคุณล่ะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้หรือเปล่า!
 
เสริมข้อมูลใน http://ohx3.exteen.com/20070109/spontaneous-human-combustion
http://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Thomas_(suspected_combustion_death)+ +
 

credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 สิงหาคม 2015, 15:00:33 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

PLAYBOY ขั้นเทพ

  • V.I.P.
  • อาชาคะนองศึก
  • *
  • กระทู้: 1345
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +6/-2
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 09 กันยายน 2015, 22:09:35 »

เคยอ่านเจอเหมือนกันครับ
***** PLAYBOY ขั้นเทพ #  PRESENTS   การบ้านสะท้านปฐพี   ==> ความมันส์!..กำลังจะบังเกิดแล้วครัชพี่น้อง *****

Drift K

  • แอบหื่น
  • ***
  • กระทู้: 39
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: ปรากฎการณ์ไฟลุกทั่วตัว (Spontaneous human combustion)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 09 กันยายน 2015, 22:12:48 »

แถบเอเซียมีบ้างไหม