-->

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔  (อ่าน 3677 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป

http://grathonbook.net/book/15.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนสิงหาคม  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :  คืนพรุ่งนี้ประมาณตี ๒ จะลุกขึ้นนั่งทำสมาธิตลอด ตานี้ช่วงที่แบบทำสมาธิจนถึงตี ๔ คือบางครั้งเราเดินจงกรมบ้างก็ทำไปแต่ส่วนมากจะใช้ ?สัมปติจฉามิ? พอภาวนาไป ๆ มันเหมือนกับตัวเองมันหายไปเลยค่ะ แล้วมันจะมีความรู้สึกว่าเราภาวนาเหมือนจิตเรามันลอยเคว้งคว้างอยู่ มันเป็นเหมือนสุญญากาศค่ะ ตานี้มันมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ...มันเป็นอะไร ? ที่บ้านมันไม่มีแอร์ค่ะ ทีนี้มันเย็นทั้งตัวค่ะ มันเหมือนกับมันมีแอร์ค่ะ มัน ๆ เย็นเข้ามาไอ้ความรู้สึกมันจะเย็นจากหน้าค่ะ
       ตอบ :  (หัวเราะ) ตอนนั้นเจ๊งแล้วจ้ะ ไปสนใจกับมันอารมณ์ตรงนั้นจริง ๆ ให้รู้ไว้เฉย ๆ อย่าให้ความสนใจมันมาก รู้ไว้เฉย ๆ ก็พอ ว่าตอนนี้เกิดอย่างนี้ ตอนนี้เกิดอย่างนี้ ถ้าสายหลวงปู่มั่นให้ บอกว่า รู้หนอ ๆ ใช่มั้ย ? รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวดิ่งลงไป ขั้นตอนต่อไปมันจะเกิดขึ้นของมันเอง หรือถ้าหากว่าถ้าไม่รู้จะไปไหนให้ตั้งใจว่าเราจะไปนิพพาน ไปกราบพระพุทธเจ้าเอาแค่นั้น
       ถาม :     ตรง ๆ ที่อารมณ์แบบมันเฉย มันเบาเนี่ยค่ะ ไม่ทราบว่าจะทำยังไงต่อ ?
       ตอบ :  ก็บอกแล้วว่าให้รู้ไว้เฉย ๆ กำหนดใจรู้ไว้เฉย ๆ คือจริง ๆ แล้วคือมันไม่มีแล้วลมหายใจก็ให้รู้เฉย ๆ ว่าลมหายใจมันไม่มี มันเลิกภาวนาก็ใ้ห้รู้ว่ามันเลิกภาวนา ถ้าเรากำหนดใจสบาย ๆ ลักษณะปล่อยวางอย่างนี้มันจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยนะจนกว่าจะถึงจุดเต็มที่ของ มัน ซึ่งจุดเต็มที่ของมันนี่ต้องตั้งกำลังใจไว้นิดหนึ่งว่าเราต้องการเวลาเท่า ไหร่ ถ้าเผลอ ๆ บางที ๓ เดือนมันไม่เลิก (หัวเราะ) ๓ เดือนไม่เลิกนี่มันอยู่สบายซะด้วยมันรู้สึกว่าแป๊บเดียวใช่มั้ย ? ตอนนี้ีตามรู้อย่างเดียว อย่าไปให้ความสนใจมันมากเห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น
       ถาม :     .......................
       ตอบ :  ลักษณะนั้นแหละ คือว่ามันสักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น คือมันสัมผัสตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าตาเห็นรูป แต่จิตไม่ปรุงแต่งต่อ หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยินไม่ไปปรุงแต่งต่อ ชอบหรือไม่ชอบ เพราะหรือไม่เพราะ จมูกไำด้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ไม่ไปปรุงแต่งต่อว่าหอมหรือไม่หอม ชอบใจหรือไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น
       ถาม :     แล้วมีบางคนทำแล้วเขารู้ แล้วรู้อย่างเดียวแล้วเขาก็ย้อนกลับถอยไปอีก ....(ไม่ชัด)......?
       ตอบ :     อันนั้นตอนแรกมันจะอยู่ลักษณะที่ว่า เมื่อเห็นแล้วพยายามกัุ้นมันเอาไว้ก่อน จนกระทั่้งสติรู้เท่าทัน แล้วต่อไปมันต้องใช้ปัญญา เพื่อให้เห็นว่าทุกข์โทษมันเป็นอย่างไร อย่างเช่นว่า สายตาเราเมื่อเห็นรูปปุ๊บ ถ้าหากว่าเราไปคิดต่อว่ารูปนี้เป็นหญิงเป็นชาย สวยไม่สวย ชอบใจไม่ชอบใจ มันจะเกิดอารมณ์ตัวปรุงแต่งของจิตสังขารขึ้นมา ซึ่งจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เรา ในเมื่อปัญญาเห็นตัวนั้นปุ๊บก็จะหยุดความคิดคือหยุดตัวสังขารตัวปรุงแต่งลง เดี๋ยวนั้นเลย
               ถ้าหากว่าอย่างนั้นก็ไม่สามารถจะทำอันตรายท่านได้อีกอย่างนี้ มันจะมีในลักษณะที่เมื่อครู่ที่อธิบายไปก็คือว่า มัน จะเป็นการข่มอารมณ์ไว้ก่อนจนถ้ามันรู้เท่าทัน พอมันรู้เท่าทัุนปัญญาเกิดมาเองเห็นทุกข์เห็นโทษก็ปล่อยมันไปเลย คราวนี้ไม่ต้องแบกมันแล้ว ตอนแรกยังกดมันอยู่
       ถาม :    อันนี้เรียกอารมณ์เข้าถึงอรหันต์หรือยังคะ ?
       ตอบ :     ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ
       ถาม :     อารมณ์อรหัตมรรคหนูยังไม่เคย ....(ไม่ชัด).....
       ตอบ :     (หัวเราะ) ไม่ทราบเหมือนกัน เขาเรียกอะไรไม่รู้ทำ ๆ ไปเถิด
       ถาม :    .................
       ตอบ :     หลวงปู่มหาอำพันเป็นเจ้าคุณที่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์บวชอยู่วัดเทพศิรินทราวาส เป็นรุ่นพี่ท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่ ๘ เดือน แต่ว่าท่านเจ้าคุณนรฯ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกว่า ท่านก็เลยมอบตัวเป็นศิษย์ คือท่านเป็นพระที่ไม่มีมานะ พอรู้จักหลวงพ่อจากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ท่านก็มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อด้วย แล้วหลังจากนั้นท่านก็ผูกสมัครรักใคร่เป็นสหธรรมมิตรกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่ครูชัยยวงศ์ 
              เวลามีงาน งานไหนงานนั้นจะเจอหลวงปู่ไปร่วมงานด้วยประจำใคร ๆ ก็ว่าหลวงปู่เป็นพระสุขวิปัสสโก แต่จากการอยู่รับใช้ใกล้ชิดแล้วเห็นว่าท่านทำได้เหมือนกับพวกได้อภิญญานะ คือว่าเรื่องของฤทธิ์นี่มันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอิทธิฤทธิ์คือพวกวิกุพนาฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็น อย่างนั้น จะเป็นอธิษฐานฤทธิ์ บุญญฤทธิ์ ญาณฤทธิ์ อะไรได้ทั้งนั้น ก็เลยเพิ่งจะเห็นว่า อ๋อ....ที่แท้แล้วพระสุขวิปัสสโกถ้าจะเอาจริง ๆ แล้วเหลือเฟือ เพราะกำลังท่านพอ อยากให้เป็นอย่างไรก็เป็น
       ถาม :     เมื่อวานนี้ดูหมอ เขาพูดถึงเรื่องสุขวิปัสสโก...(ไม่ชัด)...?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าพระสุขวิัปัสสโกปฏิบัติตามสายนั้น แต่่ว่าวิสัยท่านเคยได้อภิญญา เคยได้ปฏิสัมภิทาญาณมาก่อนอย่างนี้ มีพื้นฐานสมาบัติ ๘ มาก่อน มีพื้นฐานกสิณ ๑๐ มาก่อน พอบรรลุมรรคผลท่านจะเป็นพระอภิญญา เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ เป็นไงฟังแล้วไม่รู้หลวงปู่มาจากไหน ท่านมรณภาพตอนอายุ ๘๘ ปีนี้ครบ ๑๐๐ ก็เท่ากับว่า ๑๒ ปีเต็ม ๆ มาแล้ว พอครบวาระสำคัญของครูบาอาจารย์ก็ทำบุญถวายท่าน
       ถาม :     มีเครื่องบินอยู่ลำหนึ่งครับ มีนักบินเป็นทหารก็ได้เดินทางไปภาคใต้ พอดีจังหวะผ่านไปที่นครศรีธรรมราช แล้วเกิดมีเมฆฝนขึ้นมา เขาบอกว่าหลังจากเกิดเมฆฝนแล้วก็ได้พบได้เห็นเมืองที่อยู่ข้างล่าง เป็นเมืองโบราณ เป็นเมืองร้าง แล้วก็ไม่มีผู้คนอยู่ในเมือง แล้วดูเลขไมล์ในเครื่องบินแล้วก็เข้าใจว่าเมืองนั้นเป็นเมืองนครศรีธรรมราช พอหลังจากนั้นก็ออกมาจากเมืองนั้นแล้วก็มาสอบถามกับผู้รู้เขาก็บอกว่าเมือง นั้นเป็นเมืองเก่าของเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ทราบจริงหรือเท็จอย่างไร ?
       ตอบ :     จริงเท็จยังไง ต้องถามเขาซิ
       ถาม :     เป็นเรื่องที่ลงในหนังสือ
       ตอบ :  ถามอาตมานี่ตอบยาก เขาเห็นน่ะ เขาเห็นจริง ๆ แล้วก็อย่าลืมว่าทุกพื้นที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ไม่มีที่ใดในโลกที่ซากคนจะไม่เคยตายทับถมกัน เพราะฉะนั้นทุกสถานที่มันก็ควรที่จะเป็นบ้านเก่าเมืองเก่าแล้วทั้งนั้น แล้วเพียงแต่ว่าจังหวะที่เขาเห็นนั่นเป็นจังหวะช่วงไหน ถ้ามันถอยหลังมากเกินไป มันก็อาจไม่ใช่ช่วงเก่า ตอนนี้มันอาจจะเป็นช่วงเก่ามากกว่านั้นก็ได้
       ถาม :     คือผมไม่เข้าใจว่าถ้าเป็นเรื่องจริง ทำไมเขาถึงเห็นเป็นเพราะอะไร ?
       ตอบ :  ทำไมเขาถึงเห็น.....มันหลายอย่างด้วยกัน อาจจะเคยมีความผูกพันสถานที่่นั้นมาพรรคพวกเก่า ๆ ก็เลยทำให้เห็น หรือไม่ก็ตอนนั้นสติ สมาธิ มันลงอุปจารพอดีมันก็เลยเห็น เป็นไปได้หลายรูปแบบด้วยกัน
       ถาม :     ครับ เพราะว่าผมเข้าใจว่าไม่มีไทม์แมชชีนมันคงจะมองไม่เห็น
       ตอบ :      ถ้าไม่มีไทม์แมชีนแล้วเห็นไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านคงระลึกชาติไม่ได้ทีละเป็นแสน ๆ กัปหรอกนะ 
       ถาม :    ภาพยนต์เรื่องอุลตร้าแมนครับ ?
       ตอบ :    อุลตร้าแมนไม่เคยดู (หัวเราะ)
       ถาม :  คืออย่างนี้ครับ ผู้สร้างเขาบอกว่าหน้าของอุลตร้าแมนมีต้นแบบมาจากใบหน้าของพระพุทธรูป แล้วก็ไปต่อเติมหู ไปต่อเติมเขาอะไรอย่างนี้ครับ อยากจะเรียนถามว่าอย่างนี้เป็นการปรามาสพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
       ตอบ :  เขาออกแบบนี้ขึ้นมาโดยอาศัยแบบจากนั้นนะ เขาไม่ได้ไปเติมให้พระพุทธรูป ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในเจตนาที่จะมุ่งร้ายมันก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาไปเติมให้พระพุทธรูปแล้วเจตนาหรือไม่เจตนาก็โดนแหง ๆ
       ถาม :     แล้วภาพยนต์ที่มีภาพการตัดเศียรพระน่ะครับ โดยที่ให้เหตุผลว่าเพื่อให้เกิดความสมจริง คนที่ตัดบาปไหมครับ ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าสร้างเป็นองค์พระขึ้นมาแล้วมีโทษนะ สร้างเป็นองค์พระขึ้นมาเขาถือเป็นพระพุทธรูปแล้ว โทษทำลายพระพุทธรูปก็รีบขอขมาพระรัตนตรัยซะโดยด่วนจี๋เลย
       ถาม :  มีพระภิษุสงฆ์รูปหนึ่งกำลังให้ศีลอยู่ เมื่อให้ศีลข้อที่ ๓ เสร็จแล้วก็ได้ถามพระข้าง ๆ ว่าเมื่อตะกี้ถึงข้อไหนแล้ว พระก็บอกมา แล้วก็ให้ศีลข้อ ๔ ต่อ อยากถามว่าถ้าเกิดพระผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่มีอาการ ลืมเช่นนี้ ?
       ตอบ :  เป็นไปได้ เพราะว่ายิ่งท่านที่ได้ทิพจักขุญาณได้มโนมยิทธิหรือว่าอะไรนี่ บางทีการติดต่อกับพระกับพรหมกับเทวดาอะไรของท่านจะมีเป็นปกติอยู่ บางทีจะอาจจะเบนความสนใจไปทางด้านนั้นมากเกินไป ก็เลยทำให้ลืมไปว่าร่างกายมันทำงานไปถึงไหนแล้ว แล้วก็เป็นไปได้ เป็นบ่อยด้วย เคยเจออยู่
       ถาม :  ในหนังสือพระมหาชนก ในหลวงท่านทรงทำแผนที่ในหนังสือเพื่อที่จะแสดงเมืองต่าง ๆ ตามท้องเรื่องโดยมีระยะทางชัดเจน รวมถึงทะเลที่พระมหาชนกเดินทาง ไม่ทราบว่าในหลวงท่านใช้วิชาอะไร ?
       ตอบ :     (หัวเราะ) อันนี้ต้องกราบทูล.......
       ถาม :    หรือใช้ญาณ ท่านใช้ญาณอะไร ?
       ตอบ :  (หัวเราะ) กราบทูลถามโดยตรงจะง่ายกว่า ในหลวงได้ทิพจักขุญาณตั้งแต่ ๗ ขวบนะ เพราะฉะนั้นเรื่องอื่น ๆ ของท่านนี่ ถึงท่านจะอิงหลักวิชาการอิงอะไร แต่ว่าความสามารถพิเศษที่ทำมาได้ยาวนานขนาดนั้น นับว่าหลายสิบปีอยู่ ก็คงจะไม่ิ้ทิ้งหรอก เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีส่วนของทิพจักขุญาณอยู่ด้วย
       ถาม :    ผมเข้าใจว่าทำยากครับ เพราะว่าของมันผ่านมานาน
       ตอบ :     มันไม่ใช่ ๒๕๐๐ กว่าปีนะ พระมหาชนกนี่ก่อนเป็นพระพุทธเจ้า นานมากนะ
       ถาม :    แล้วในแผนที่มีพื้นที่เป็นประเทศไทยเก่าด้วยก็เลยงง ๆ
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วโน่น กราบบังคมทูล ทรงทำอย่างไรพระเจ้าข้า ?
       ถาม :  มีคนกล่าวว่า คำว่า ?ธรรมะ? คือหน้า ที่ แล้วก็ความหมายของคำว่า ธรรมะ จริง ๆ หมายถึงการทำหน้าที่ต่าง ๆ ของเราให้ดี ความหมายนี้ถูกต้องตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือไม่ครับ ?
       ตอบ :     อ๋อ นึกว่าถูกหรือไม่ ถ้าถูกนี่ถูกของเขา แต่ถ้าถูกต้องตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือไม่นั้น ถูกนิดเดียว
       ถาม :     ถ้าเกิดนำคำสอนเป็นคำสอนหลัก ๆ อย่างนี้ ?
       ตอบ :  ก็เจ๊งไปเลย (หัวเราะ) ที่เรียกว่าถูกนิดเดียวเพราะว่าเขาทำไปแค่นั้น ในเมื่อเขาทำไปแค่นั้นแล้วเขาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำนั้นก็คือธรรมะของพระ พุทธเจ้า
       ถาม :  สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเอาข่าวไม่ดีในวงการพระสงฆ์มาออกอากาศอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังมีพระดี ๆ อยู่มากแต่ไม่นำมาเสนอข่าวอย่างนี้ เป็นการทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระศาสนาหรือไม่ และคนที่เสนอข่าวนี้มีอานิสงส์อย่างไรครับ
       ตอบ :  ดูว่าเขามีเจตนามั้ย ? ถ้าเขาเจตนาทำลายนี่อานิสงส์ลึกมาก (หัวเราะ) ถ้าหากว่าเขาไม่มีเจตนาเป็นการนำเสนอตามข้อเท็จจริงไม่เป็นไร เพราะเขาทำตามหน้าที่ของเขา แล้วอีกอย่างที่ทำไม่ดี เขาไม่เรียกว่าพระนะ มันขาดความเป็นพระไปแล้วซะส่วนใหญ่ใช่มั้ย ?
       ถาม :    ก็คือ.....จนเดี๋ยวนี้เขาก็ทำให้คนหลาย ๆ คนเขาคิดไปว่าไปทำบุญบ้านเด็กสงเคราะห์อะไรพวกนั้นยังดีกว่าทำกับพระครับ ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าดีกว่าพระคงไม่ใช่หรอก แต่ว่าดีกว่านักบวชประเภทนั้นน่ะใช่ เพราะว่าต้องเลือกเนื้อนานี่ ในเมื่อเลือกเนื้อนาเขาก็ถือว่าเด็กอย่างน้อย ๆ มันก็ดีกว่าเพราะว่าคนที่ล่วงความผิดขนาดนั้นแล้วมันก็เป็นสัตว์นรกไปแล้ว นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่ จากสัตว์นรกมาเป็นเปรต เปรตมาเป็นอสุรกาย จากอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานถึงเป็นคนได้ เป็นคนถ้าไม่มีศีล ถ้ามาเป็นคนมีศีลขาด เป็นคนมีศีลสมบูรณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดเด็ก ๆ พวกนั้นมีศีลสมบูรณ์ขึ้นมานี่ อานิสงส์มีมากกว่าหลายเท่า
       ถาม :     เวลาออกโทรทัศน์ของพระสงฆ์ที่มีการนั่งอยู่ในโต๊ะระดับเดียวกัน คนที่นั่งเสมอกันบาปมั้ยครับ ?
       ตอบ :     หมายถึงฆราวาสหรือพระ ?
       ถาม :    ฆราวาสครับ
       ตอบ :     เอาอย่างนี้แล้วกันนะ สำหรับพระ พระถ้าหากว่าพรรษาห่างกันเกินกัน ๓ พรรษานั่งอาสนะเดียวกันนะ เขาปรับเป็น ?สมานาสนิก? ก็คือว่านั่งอาสนะเดียวกับผู้ใหญ่ถือว่าเป็นการไม่เคารพกัน ของพระเขาปรับโทษ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าฆราวาสซึ่งถือเป็น ?อนุปสัมบัน? คือผู้ที่ศีลไม่เท่ากันไปทำอย่างนั้นโทษมันจะมากกว่า แต่ถ้าหากว่านั่งเสมอกันโดยคนละอาสนะกัน คนละที่นั่งกันอันนั้นไม่เป็นไรคือจริง ๆ แล้วเจตนาของเขาไม่มีแต่ว่าสภาพมันบังคับ ถ้าไม่นั่งในลักษณะนั้นการถ่ายทอดการออกอากาศมันก็ลำบากหน่อย
       ถาม :     แต่จริง ๆ ในฐานะของพระสงฆ์น่าจะสูงกว่า ?
       ตอบ :  ใช่ในฐานะนั้นน่าจะสูงกว่า ก็จะไปยากอะไรล่ะ ก็จัดอาสนะในลักษณะที่....ถ้านั่งโซฟาใช่มั้ย ? โซฟาเหมือนกัน คนละตัวของพระก็ปูผ้าไปอีกซักผืนหนึ่งก็สูงกว่าแล้ว
       ถาม :    จริง ๆ แล้วเวลาที่ดีใจหรือซาบซึ้งใจในความดีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ควรร้องไห้หรือไม่ถ้าตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐาน ?
       ตอบ :  ถ้าตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานเขาไม่ร้องให้เสียเวลาหรอก (หัวเราะ) โดยเฉพาะถ้าอารมณ์ใจตั้งมั่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเขาก็ไม่ร้องแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคลายมานี่แล้วอาจจะแงใหม่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 เมษายน 2009, 21:45:19 »

http://grathonbook.net/book/15.2.html

ถาม :    ทำไมดีใจแล้วต้องร้องไห้ ?
       ตอบ :  ไม่รู้เหมือนกัน กติกาของใครกำหนดไม่รู้ว่าดีใจแล้วต้องร้องไห้ (หัวเราะ) กำลังใจของแต่ละระดับมันไม่เท่ากัน ของเขากำลังใจแค่นั้น ดีใจก็แสดงออกลักษณะอย่างนั้น แต่ถ้าว่ากำลังใจของพระอริยเจ้าดีใจท่านอาจจะยิ้มนิดเดียว (หัวเราะ)
       ถาม :    การที่มีแนวคิดว่าจะนำเอาศาสนาพุทธแล้วให้มีคนในศาสนาอื่นมาเป็นกรรมการปกครองของสงฆ์ คนที่คิดแบบนี้จะลงนรกมั้ยครับ ?
       ตอบ :  จะลงนรกมั้ย ? ก็ต้องดูว่าเจตนาเขาดีมั้ย ? ถ้าเขาเจตนาดีต้องการจะส่งเสริมพระศาสนาจริง ๆ ต้องการจะเปิดกว้างลังกษณะที่ว่า ถ้าคนอื่นเขายอมรับด้วยแล้วก็ทำถูกต้องตามแบบจริง ๆ นั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเจตนาลักษณะเหมือนดิสเครดิตหรือไม่ก็เจตนาที่จะทำลายกันเลย นั่นเสร็จแหง ๆ
       ถาม :     เคยได้ฟังเรื่องมีวิญญาณได้เล่าเปรียบกับหลวงพ่อฤาษีสมัยที่อยู่ที่วัดบางนมโค อยากถามว่า วิญญาณไม่กลัวพระเหรอครับ ?
       ตอบ :  นั้นส่วนใหญ่เขามันเพื่อนเก่า ๆ แล้วก็ทั้งหมดเป็นเทวดาด้วย เพราะฉะนั้นของเขาเองจริง ๆ เทวดาหางแถวมันดีกว่ามนุษย์หัวแถว และโดยเฉพาะนักบวชด้วย เพราะถ้าหากว่าของเราเองทำไม่ดี ศีลไม่บริสุทธิ์บกพร่องอะไรนี่ เขาไม่ซ้อมอานนี่ก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว กำลังเขาสูงกว่าอยู่แล้ว ลักษณะที่เขามา มาโดยเจตนาดี จะสร้างกำลังใจให้นะ ช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นไม่กลัวอะไรง่าย ๆ ของอาตมาเองพกพระเครื่องไว้เต็มกระเป๋าอังสะมานั่งทับบีบคอเฉยเลย (หัวเราะ) กราบเรียนถามหลวงพ่อว่าทำไมมันถึงนั่งทับได้ บอกเอ็งอาราธนาพระบ้างหรือเปล่า บอกเปล่า เออ....สมน้ำหน้า (หัวเราะ) พระหรือเทวดาท่านยอมรับกฎของกรรมมากกว่าเราเยอะ ไม่เรียกให้ช่วยท่านก็นั่งดู มันจะเก่งซักเท่าไหร่ ? (หัวเราะ) ใส่กระเป๋าไว้มันนั่งทับกระเป๋าเลย (หัวเราะ)
       ถาม :     เวลาที่ใส่บาตรพระ จำเป็นมั้ยคะต้องถอดรองเท้า ถ้าไม่ถอดบาปมั้ย ?
       ตอบ :  ก็จริง ๆ แล้วลักษณะของการให้ความเคารพ เขาบอกว่ายังไง ถ้ากั้นร่ม ให้ลดร่ม ถ้าใส่หมวกให้ถอดหมวก ใส่รองเท้าให้ถอดรองเท้าแล้วถามว่าเป็นบาปมั้ย ? มันก็เป็นอยู่แสดงว่ากำลังใจเขาหยาบอยู่ ในเมื่อกำลังใจเขาหยาบ สิ่งที่คิดว่าเล็กน้อย เขามองข้ามไปเป็นโทษ
               อย่างพระเจ้าพิมพิสารโดนพระเจ้าอชาติศัตรูที่ เป็นลูก สั่งให้พวกผู้คุมนักโทษเอามีดโกนกรีดฝ่าเท้าซะไม่ให้ท่านเดินจงกรม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นโทษในอดีตที่ใส่รองเท้าเดินเข้าไปในลานเจดีย์ ลักษณะอันเดียวกันคือสถานที่ ๆ ควรแก่การเคารพแล้วไม่แสดงออกซึ่งความเคารพอันนั้น โทษมันมีอยู่แต่ว่ามันก็นานเต็มที่กว่าจะไล่ทัน มาไล่ทันเอาชาติสุดท้ายที่ท่านมาเป็นพระเจ้าพิมพิสารนี่
       ถาม :     เราเรารักษาศีลครบโดยที่เราไม่รู้ว่าศีลเราครบหรือเปล่า แล้วอานิสงส์ของการรักษาศีลครบได้รึเปล่า ?
       ตอบ :    ถ้าตั้งใจรักษาได้ครบ ถ้าเจตนาไม่มีในการงดเว้นนั้น บังเอิญว่าครบเองอย่างนั้นถือว่า เจตนา คือตัวกระทำไม่มี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ?เจตนาหัง ภิกขเว ปัญญัง วทามิ? ต้องเจตนาถึงจะเป็นบุญ ถ้าตั้งเจตนาไว้ว่าจะรักษาแต่มันหลงลืมไป แต่่ว่ามันได้ครบก็ถือว่าเต็มอยู่
       ถาม :     ผมนึกถึงตอนนอนไงครับ หลับทุกคืนนี่ไม่ผิดศีลแน่เลย
       ตอบ :  ตั้งใจไว้ก่อนซิว่า ผมจะรักษาศีลตอนนอน เดี๋ยวมันได้ฝันว่าได้ฆ่ากันทั้งขบวน (หัวเราะ) โดนแกล้งจนได้ คิดจะหากินวิธีง่ายใช่มั้ย ?
       ถาม :     นึก ๆ แล้ว เออ.....ถ้าหากไม่ได้ตั้งใจจะได้อานิสงส์หรือเปล่า จริง ๆ อานิสงส์มันเยอะมาก
       ตอบ :     ต้องตั้งใจเจตนา ?เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ?
       ถาม :    แล้วที่จำบาลีได้เยอะ ๆ
       ตอบ :     อ่านมั่ง ฟังมั่ง อย่างนี้เขาเรียก ?พาหุสัจจะ?
       ถาม :    ยังไงครับ ?
       ตอบ :    ก็คือว่าเห็นมาก ได้ยินมาก มันน่าจะใช้คำว่า รู้มากนะ
       ถาม :    ก็มีแต่คนไม่คิด แต่ผมคิดทั้งนั้นครับ
       ตอบ :     ก็มีแต่.....(หัวเราะ) อันนี้ไม่ทราบนะ แต่ในพระไตรปิำฎกมีแน่กล้ายืนยัน
       ถาม :    ที่จริงผมว่า ถ้าเรื่องเล่านี่เอามาเล่าวันละเรื่องนี่มันไม่หมดหรอก
       ตอบ :  มันอาจจะหมดเหมือนกัน ของเรายังไม่เก่งรู้หมด พระพุทธเจ้าท่านเก่งรู้ไม่หมดท่าน ๆ ว่าไปเรื่อย ๆ เรื่องทางโลกเรื่องทางธรรมอะไร มีอายุยืนสักกัปหนึ่ง เรื่องพระพุทธเจ้าท่านรู้ก็ยังไม่หมด ของเรามันรู้หมด (หัวเราะ)
       ถาม :     มีอีกมั้ยครับที่พุทธกาลถึงปัจจุบันนี้ยังมีชีวิตอยู่ ?
       ตอบ :     อันนี้ไม่ได้ยินหรอกนะ แต่อย่างหลวงปู่โลกอุดร หลังพุทธกาลมาประมาณ ๓๐๐ ปีแต่ว่ายังอยู่นะ ก็ถือว่าหลังมานิดหนึ่ง คนไปถามท่าน หลวงปู่ครับอายุเท่าไหร่ครับ ? ท่านบอกว่าจำไม่ได้แล้วว่ะ รู้แต่ว่าตอนเขาสร้างปรางค์ ๓ ยอดที่ลพบุรีไปยืนดูมันทำอยู่ ปรางค์ ๓ ยอดนั่นไม่หนี ๑๔๐๐ ปี .....(หัวเราะ) ไปยืนดูมันทำ (หัวเราะ)
       ถาม :     แล้วอย่างนี้มันไม่เหมือนกับฝืนกฎแห่งกรรมเหรอครับ ?
       ตอบ :    ก็จะเรียกว่าฝืนก็ใช่ แต่ว่าบังเอิญว่าท่านมีความสามารถที่จะฝืนได้เพราะว่า ที่พระพุทธเจ้า่ท่านตรัสว่าบุคคลผู้ชำนาญในอิทธิบาท ๔ จะอธิษฐานให้อยู่ถึงเป็นกัปก็ได้ คราวนี้งานท่านมีอยู่ ท่านจำเป็น เพราะว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้า 
              คราวนี้พอมาเจอธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าท่านเห็นว่าวิธีนี้ง่ายกว่า ท่านก็ตัดสินใจหันมาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปุ๊บปั๊บเป็นพระอรหันต์เลย เพราะกำลังท่านสูงอยู่แล้วบริวารตามไม่ทันมัวแต่ใจเย็นอยู่ ยัง ๆ ท่านก็ต้องรอเราแน่ ที่ไหนได้ท่านไม่รอเราแล้ว ปุ๊บปั๊บไปเลย ท่านเองท่านก็เลยต้องรอเก็บบริวารของตัวเอง
       ถาม :    แล้วอย่างนี้ถ้าเราไม่เคยผูกพันกับท่านก็โอกาสเจอก็ไม่มี ?
       ตอบ :     โอกาสเจอยากเต็มที แต่ว่าท่านบอกวิธีติดต่อให้นะ บอกว่าให้ จัดอาสนะ ๕ ที่ปูด้วยผ้าขาว แล้วก็จุดธูปเทียน ตั้งใจบูชานึกถึงท่าน ว่าคาถาว่า ?โลกะอุตตะโร มหาเถโร อะหังวันทามิ ตัง สะทา? ภาวนาไปเรื่อย  ท่านบอกว่าถ้าหากว่าท่านว่างก็จะมาเอง ถ้าไม่ว่างจะมาในฝัน
       ถาม :     มาเนื้อ ๆ เลยเหรอครับ ?
       ตอบ :  เออ มาเนื้อ ๆ นี่แหละ แล้วระวังนะองค์นั้น บางทีมาขอข้าวเย็นกินหน้าตาเฉยเลย ถวายไปเหอะ (หัวเราะ) ไอ้คนก็ตกใจ อะไรพระขอข้าวเย็นกิน เอาข้าวมาที่ไหนได้ ท่านควักกะละมังใบเบ้อเริ่มออกมา เอ้า.....กะละมังก็กะละมังวะ ก็ใส่ลงไปเรื่อย ทั้งข้าวทั้งกับท่านคลุกของท่านไปเรื่อย เสร็จแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฉันมันทั้งเย็น ๆ นั่นแหละ ฟาดลงไปทีครึ่งค่อนกะละมัง
       ถาม :    ใช้เวลาอเมริการึเปล่าครับ ?
       ตอบ :  ปรากฏว่าไอ้คนก็แปลกใจ แต่อีตอนท่านกลับแล้วซิข้าวมันเหลือเต็มกะละมังเท่าเดิม (หัวเราะ) ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านฉันอีท่าไหน....ไม่พร่องเลย
       ถาม :     แต่เห็นว่าฉัน ?
       ตอบ :     เห็นว่าฉัน แล้วฉัน ตอนฉันก็หมดเป็นครึ่ง ๆ เลย
       ถาม :    แล้วเวลามา ๆ องค์เดียวหรือมา ๕ องค์เลยครับ ?
       ตอบ :      ส่วนใหญ่จะมาองค์เดียว เพราะว่างานของท่านเยอะ ชุดของท่านมี ๕ องค์   
       ถาม :      ยังมีงานอีกเหรอ ?
       ตอบ :    งานท่วมหัวเลย
       ถาม :     งานอะไรครับ ?
       ตอบ :    ส่วนใหญ่ก็งานเพื่อพระศาสนา เพื่อกำลังใจของคนหมู่มาก เพื่อส่วนรวม
       ถาม :     จริง ๆ ถ้าไม่รู้ก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องเลยซิครับ ?
       ตอบ :    หมดเรื่องไปเลย ประเภทที่เดินมาจะเหยียบอยู่แล้วยังไม่รู้คุณสุดเฉลียวใช่ มั้ย ? ท่านเดินมาบิณฑบาต แล้วคุณสุดเฉลียวก็อาย เพราะว่ากับข้าวไม่ดี เลยไปบอกท่านบอกว่า อีฉันเป็นคริสต์ค่ะ ท่านก็เลยเดินไป พอท่านเดินไปจนกระทั่งลับไปแล้วเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าผิดปกติ....ตรงไหนรู้ มั้ย ? ผิดปกติตรงที่ว่าท่านสูง หัวนี่ค้ำเพดานเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้สังเกตไม่ทันนึก มันคงจะเป็นเรื่องบุญมีแต่กรรมบัง ก็เลยวิ่งออกไป จะวิ่งตามออกไป ปรากฏว่าไม่เจอ ตัวเองจะเป็นห้องที่ ๓ อยู่ซ้ายมือมันมีอยู่ ๒ ห้องขวามือมันมีอยู่ ๓-๔ ห้อง มันเป็นห้องแถว ถามทางด้านไหนก็ไม่มีใครเห็นพระลักษณะอย่างนั้นเดินออกมาสักองค์หนึ่ง ไม่ทันกินแล้ว.....บุญมีแต่กรรมมันบังไปหน่อย ไปบอกว่าอีฉันเป็นคริสต์เจ้าค่ะ
       ถาม :    เอ้า เขาเองก็ตั้งใจดีนี่นะ คือกลัวกับข้าวไม่ดีก็ไม่ถวาย ?
       ตอบ :    ถ้าหากว่ามันไม่มีจริง ๆ ที่กินแล้วใช้แล้วก็ได้ เขาเรียก ?ทาสทาน? ถ้าเสมอกับตัวเองกินตัวเองใช้ก็ ?สหายทาน? ถ้าดีกว่าที่ตัวเองกินตัวเองใช้ก็ ?สามีทาน? แต่ส่วนใหญ่แล้วเขากะจะทำแต่ที่ดี ๆ ก็เลยพลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
       ถาม :    ถ้าได้ทำก็สุดยอดซิครับ ?
       ตอบ :    พระอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นะ
       ถาม :    อย่างน้อยได้ทำกับหลวงพี่ก็โชคดีแล้ว
       ตอบ :    ทำกับอาตมานี่ประเภททำบาท บุญได้สลึงรึเปล่าก็ไม่รู้ ?
       ถาม :     แล้วอย่างนี้ งานหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉพาะบนโลกมนุษย์เหรอครับ ?
       ตอบ :    ก็บริวารท่านนั่นแหละ ถ้าไปเกิดดาวอื่นท่านก็ต้องตามไปเก็บเหมือนกัน แต่ระดับของท่านแล้ว เดินทีเดียวก็ถึงแล้ว ไม่ต้องลำบากมาก
       ถาม :     ท่านอยู่ที่ไหนครับ ?
       ตอบ :  อยู่ที่ไหน ปัจจุบันนี้สถานที่ ๆ ท่านอยู่ประจำเป็นถ้ำใหญ่อยู่ที่ในป่า อยู่ใต้ภูเขาเย็นมากเลย อยากจะเรียกว่าเย็นชนิดติดลบ แต่ว่าเวลาท่านต้องการให้คนอื่นเจอท่านพบท่านบางทีท่านก็ไปในระดับใกล้ ๆ แล้วก็โผล่ไปให้หรือไม่ก็หลายคนได้เห็นท่าน ได้เจอท่านในถ้ำแห่งหนึ่ง เรียกว่า ?ถ้ำวัวแดง? ท่านอาจประเภทที่ว่าดึงเราเข้าไปตรงจุดนั้นก็ ได้ เพราะว่าถ้ำวัวแดงจริง ๆ คนไปแล้วไม่เจออะไรเลย ไม่ได้อยู่องค์เดียวนะ อยู่ด้วยกันหลายองค์ด้วย ถ้ำนั้นน่าอยู่แอร์ธรรมชาิติเย็นดีจังเลย แต่มันเย็นเกินไปสำหรับเรา
       ถาม :     กัปนี้เป็นกัปพิเศษมีพระพุทธเจ้าทั้งหมดกี่พระองค์ที่ตรัสรู้คับ ? ไม่ทราบว่าหลวงพ่อปานนี่จะตรัสรู้เมื่อไหร่ ?
       ตอบ :   หลวงพ่อปานกัปหน้าโน่น ไม่ใช่กัปนี้ กัปนี้จะหมดแค่พระศรีอารย์ (หัวเราะ) นอกตำราอีกแล้ว ไม่ได้นอกตำรานะ กัปที่มีพระพุทธเจ้าก็จะมี สารกัปก็จะมีพระพุทธเจ้า ๑ องค์นะ มัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัปมีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัปมีพระพุทธเจ้า ๔ องค์ ภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ ช่วงนี้ฟลุคว่าเป็นภัทรกัป ๒ กัปติดกันเลย
       ถาม :    ไม่เคยมีมาก่อน ?
       ตอบ :   ไม่เคยมีมาก่อนเลยในอดีตเต็มที่ก็แค่ ๔ องค์นะ แล้วเสร็จแล้วมันก็จะเป็นสุญญกัป อันตรายกัป สัตถันตรกัป ที่หาความดีไม่ได้ มีแต่ที่ประเภทคนใจคอโหดร้ายเห็นคนอื่นเป็นเหยื่อเป็นอะไรไปเลยอย่างนั้น อันนี้ถือว่าฟลุคสุด ๆ 
       ถาม :     แปลว่ากัปนี้จริง ๆ แล้วมีแค่ ๕ องค์ ๒ กัปชนกัน ?
       ตอบ :    ๒ กัปชนกัน ถ้าหากว่านับแล้ว หลวงพ่อปานจะเป็นองค์ที่ ๗ 
       ถาม :     ๗ นับจากองค์ไหนครัับ ?
       ตอบ :    นับจากองค์ต้น พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า
       ถาม :  ย้อนกลับไปเมื่อกี้นิดหนึ่งที่บอกว่ากรรมที่ตามมาทันในชาติสุดท้ายนั้น อย่างนี้ถ้าเกิดว่าใครจะไปนิพพานในชาตินี้ กรรมต่าง ๆ นี่จะกลับมาทั้งหมดเลยเหรอครับ ?
       ตอบ :  ก็ถ้าหากว่าเรามั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา กรรมมันตามได้ไม่เกิน ๒๕% มันอยากจะตามเหมือนกันแต่กำลังบุญมันเหนือกว่า มันก็จะมีที่ประเภทหนัก ๆ ที่มันตามได้ไม่กี่อย่าง ๆ พระโมคคัลลาน์นั่นยอดเยี่ยมวรยุทธไม่มีใครเหนือกว่านั้นอีกแล้วยังโดนทุบซะ ป่นเป็นแป้งเลย
       ถาม :     ถ้าหลุดจากศีลหรือว่าทานอะไรอย่างนี้
       ตอบ :    โอ้.....มันทวงยับทวงเยินเลย (หัวเราะ) อยู่ ๆ โผล่จากเกราะไปให้เขาซ้อมแล้วนี่ เขาก็เอาซิ
       ถาม :     ......................
       ตอบ :     ความดีมันมากไปหน่อย ถ้าความดีน้อย ๆ อาจจะได้เจอ
       ถาม :    สมัยก่อนอยู่ร่วมกันเลยนี่ครับ
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมีเขตของเขาอยู่ พวกเดรัจฉานกึ่งทิพย์นี่เขาจะมีฤทธิ์ก็จริง แต่ว่าอยู่ในภูมิของเดรัจฉาน ในกากีคำฉันท์พอคนธรรพ์บอกว่าไปวิมานฉิมพลีมาแล้ว พญาครุฑไม่เชื่อ ก็บอกทางไปให้ ท่านว่า
                     ?เราจะแจ้งทางทุเรศเขตอรัญ
                     สัตตภัณฑ์คั่นสมุทรใสศรี
                     แม้จะขว้างแวววหางมยุรี
                     ก็จมลงจนถึงที่สุธาธาร
                     อันน้ำนั้นสุขุมละเอียดอ่อน
                     จึงชื่อสีทันดรอันใสสาร
                     ประกอบหมู่มัจฉากุมภาพาล
                     คชสารเงือกน้ำและนาคินทร์?
ไอ้เงือกนี่คืองูนะ ไม่ใช่นางเงือก
                     ?ผู้ใดคิดข้ามมนทีสีทันดร
                     ย่อมม้วยมรณ์เป็นเหยื่อแก่สัตว์สิ้น
                     แสนมหาพญาครุทยังเต็มบิน
                     จึงล่วงสินธุ์ลุถิ่นพิมานทอง?
              ขยับปีกทีละโยชน์นี่ยังบินจนหมดแรงถึงจะข้ามได้พอดี แล้วคนอื่นจะไปอย่างไร...เขาสงสัย คนธรรพ์บอกว่าอั้วไม่โง่อย่างงั้นหรอก อั้วแปลงเป็นไร เกาะขนลื้อไป (หัวเราะ) เสร็จเลย....โกรธมากกลับไปเอานางกากีมาโยนคืนให้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 02:47:53 »

http://grathonbook.net/book/15.3.html

ถาม :    แล้วตกลงเรื่องนี้เรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ?
       ตอบ :    เรื่องแต่ง น่ารักมั้ย ?
       ถาม :    ที่จริงก็รู้เรื่องหมดแล้ว จับไม่ได้แม้สักนิดเดียว
       ตอบ :    เมื่อวานนี้ที่ติดไว้เรื่องอะไร แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์นะเป็นสมัยที่ขุนวรวงศาธิราชก่อนพระเธียรราชานิดหนึ่ง ผู้ที่ทำการปฏิวัติคือพระเธียรราชา ซึ่งตอนหลังเป็นพระมหาจักรพรรดิ์
       ถาม :     ใครคะ ..........?
       ตอบ :  ขออภัย บางตอนมันเดี้ยงนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกแล้วนะ แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แม่อยู่หัวเมืองก็คือผู้หญิงที่เหมือนกับเป็นพระเจ้าอยู่หัวครองเมือง คราวนี้พอเรียกเร็ว ๆ ก็เป็น ?แม่หยั่วเมือง? แล้วมาสมัยหลังเขาเรียกให้เป็น ?แม่ยั่วเมือง? ความหมายเสียหมดเลย (หัวเราะ)
       ถาม :     เอ้อ ! อย่างนี้นับเป็นกษัตริย์หรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :    ไม่เป็นกษัตริย์ก็เหมือนกับเป็น แต่ว่ากษัตริย์ตามประวัติศาสตร์ไทยจริง ๆ มีองค์เดียวที่เป็นผู้หญิงก็คือพระนางเจ้าจามเทวี
       ถาม :    ถอยไปนู้นเลยนะครับ ?
       ตอบ :   พระนางเจ้าจามเทวี สมัยหริภุญชัย
       ถาม :     ก็เลยนับแค่ ๓๓ ?
       ตอบ :    ประวัติศาสตร์มันยาก มันนึกไม่ค่อยจะออก บางทีก็ว่าไปได้เรื่อย ๆ จ้อย ๆ เหมือนกัน ว่าอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์เอง
       ถาม :     หนังสืออ่านเล่นของหลวงพ่อมีเขียนประวัติศาสตร์ที่เป็นรัชกาลที่ ๑
       ตอบ :    อันนั้นเกี่ยวกับประวัติของสมเด็จพระปฐมบรมราชชนก ท่านปู่ทองดีก็มาลูกชายคือ รัชกาลที่ ๑ ก็ทองด้วง
       ถาม :    แล้วไล่ ๆ มาก่อนหน้านั้นไกลเหมือนกันนะคะ
       ตอบ :    จริง ๆ แล้วท่านจะเป็นเจ้าคุณพระพินิจอักษรนะ คราวนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะตามประวัติศาสตร์ที่เขารับรองเป็นพระอักษรสุนทร เท่านั้น คราวนี้ตำแหน่งมากกว่านั้นไม่ได้บอกไว้ หลวงพ่อท่านไปควักมาจนได้
       ถาม :     แม่มาตอนไหนครับ ก็ตอนนั้นก็กรุงแตกแล้ว ?
       ตอบ :    ก็กรุงแตกแล้ว เสร็จแล้วอพยพไปอยู่พิษณุโลก แล้วไปรับราชการอยู่หัวเมืองอื่นก็ได้ยศขึ้นมาใหม่
       ถาม :     ตอนที่รัชกาลที่ ๑ ขึ้นครองราชย์ ไม่ไปรับกลับมาเหรอครับ ?
       ตอบ :  ก็น่าจะรับนะ แต่ว่าตามประวัติตอนนั้นพูดถึงแต่พระเอกแล้วซิ (หัวเราะ) กฤษดาภินิหารอันมิอาจจะบดบังไว้ พระรองหรือพ่อแม่พระเอกก็เลยเงียบไปเลย
       ถาม :  แล้วอย่างเรื่องที่มีซินแสมาดูรัชกาลที่ ๑ กับพระเจ้าตากสินว่าเป็นกษัตริย์ทั้งสองคนนั้น เรื่องจริงหรือเปล่าครับ หรือว่าเรื่องแต่ง ?
       ตอบ :   อ่านดูเหมือนอย่างกับจริงนะ แต่คราวนี้ว่าซินแสอย่างนั้นมันยอดมนุษย์จริง ๆ เลย
       ถาม :     นี่แสดงว่าเขารู้จักกันมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ งั้นซิครับ ?
       ตอบ :  ก็ต้องอย่างนั้น ส่วนใหญ่สมัยก่อนนี่เรียนวิชาหาความรู้อะไร สำนักไหนดีก็ไปเรียนสำนักนั้น ดีไม่ดีก็ผูกสมัครรักใคร่เป็นเพื่อนกันมานานแสนนานเสียแล้วด้วยซ้ำไป
       ถาม :  ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์มาเจอกันตอนกู้กรุง กู้ได้แล้วด้วยซ้ำนี่ครับ ถึงค่อยกลับมาอยู่ด้วย น่าจะมั้ง...เอ๊ะ ! แต่แปลกนะครับ ทำไมไม่เห็นประวัติศาสตร์เขียนไว้เลยว่าก่อนหน้านั้นรัชกาลที่ ๑ ท่านไปอยู่ไหน หายไปเลย ?
       ตอบ :  คนเขียนมันตามไม่ทัน ส่วนใหญ่มันจะมีนักจด นักจดนี่เขาเรียกอาลักษณ์ จดเป็นหมายเหตุคราวนี้กรุงศรีฯ มันกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง ตัวเองไม่รู้จริงว่าอยู่ไหน ถ้ามั่วไปเดี๋ยวโดนคนรุ่นหลังด่าเขาก็ต้องมีจรรยาบรรณของเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเขียนเชียร์เฉพาะพวกของตัวเองก็เหอะ
       ถาม :     ถึงว่าครับ หาประวัติของรัชกาลที่ ๑ ไม่มีเลย มามีตอนก็แบบมาเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว
       ตอบ :    โผล่มาเป็นอะไร ....เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
       ถาม :  นั่นซิครับ ผมก็แปลกนะครับ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้ากรุงธนฯ ท่านแบบมีมือดีอยู่ใกล้ตัวเยอะมากเลย แล้วคนนี้ไม่รู้มาจากไหน กลับมาใหญ่กว่าคนที่กู้บ้านกู้เมืองมาด้วยกัน
       ตอบ :   จริง ๆ สมัยนั้นท่านจะมีทหารเอกคู่พระทัยอยู่ ๑๐ คนด้วยกัน มีอย่างพระยาศรีสิทธิสงคราม, พระยาสามเมืองระย่อ,  พระยาพนอราชบาท, พระยาไพรีพินาศ, พระยาพิฆาตไพรี, พระยาพิชัยสงคราม อย่างนี้จะมีอยู่ด้วยกัน ๑๐ คนด้วยกัน แล้วก็ ๑๐ คนนี้จะเป็นกำลังบสำคัญในการกู้ชาติของท่าน ถ้าหากไม่มี ๑๐ คนนี้คงสำเร็จยากนะ ลำพังตัวเองนี่ฟาดกันเหงือกแห้งแน่เลย คงไม่ใช้เวลาแค่ ๗-๘ เดือน
       ถาม :    อ้าว ! อย่างนี้รัชกาลที่ ๑ ท่านมาแล้วท่านมาเป็นใหญ่เลย คนที่อยู่ด้วยไม่เขม่นเหรอ ?
       ตอบ :   สมัยนั้นท่านเป็นอยู่แล้วล่ะ ก็อยู่ ๑ ในจำนวน ๑๐ คนนี่แหละ
       ถาม :    อ้อ.......
       ตอบ :    คือรัชกาลที่ ๑ ท่านเป็น ?พระยาศรีสิทธิสงคราม? อุตส่าห์ขึ้นให้เป็นคนที่่ ๑ แล้วมันยังไม่สงสัยอีก
       ถาม :     (หัวเราะ) ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
       ตอบ :   ตำแหน่งพระยาศรีสิทธิสงครามนี่ สืบต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ ๖ ก็ยังมีอยู่นะ รู้สึกพระยาศรีสิทธิสงครามคนสุดท้ายที่รู้จัก....อาจจะมีหลังจากนั้นอีก แต่ว่าคนสุดท้ายที่รู้จักก็คือ ?พระยาศรีสิทธิสงคราม? ที่ตายตอนกบฎวรเดช เป็นกองหลังคอยยันกำลังของฝ่ายรัฐบาลไว้ ไปตายแถวปากช่อง นั่นแหละพระยาศรีสิทธิสงคราม ชื่อดิ่น นามสุกล ท่าราย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นปู่ของคุณสุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดนะ เป็นชาวเพชรบุรี ท่ารายอยู่เพชรบุรี
       ถาม :      แล้วทำไมถึงเป็นราชวงศ์จักรีล่ะครับ ?
       ตอบ :   ก็ ?จักรี? เขาใช้เครื่องหมาย กงจักรกับตรีศูลไง โบราณนี้เขาออกเสียง ?ก.? แทน ?ต.? 
       ถาม :     ท่านก็ไล่ราชวงศ์กลับไปถูกนี่ครับว่ามาจากสุโขทัยเหมือนกัน
       ตอบ :  ถึงเวลาก็ต้องสาวประวัติกลับ แต่คราวนี้ว่า ก็ในเมือ่ตั้งเมืองใหม่ ปราบดาภิเษกใหม่ก็ต้องนับเป็นต้นราชวงศ์ใหม่ อย่างของอยุธยาก็มี ราชวงศ์ปราสาททอง, ราชวงศ์บ้านพลูหลวง, ราชวงศ์สุพรรณภูมิ 
       ถาม :     จริง ๆ ก็เชื้อสายเดียวกันทั้งนั้นเลย
       ตอบ :    ก็บอกแล้วว่า ของจีนเขาบอกไว้ว่าเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน เขามีบรรพบุรุษคนเดียวกัน   
       ถาม :  กรุงศรีอยุธยา สภาพบ้านเมืองที่ถูกเผามันเหมือนกับสภาพบ้านเมืองของสุโขทัย ทีนี้ไม่แน่ใจว่าสุโขทัยนี่จะโดนเผาเหมือนกับกรุงศรีอยุธยาหรือเปล่า ?
       ตอบ :   สุโขทัยสมัยนั้นจะเป็นเมืองหน้าด่าน จากสุโขทัยเมืองหลักลงมาก็จะเป็นพิษณุโลก สุโขทัย สมัยนั้นจะเป็นเมืองชะเลียง เมืองศรีสัชชนาลัย เมื่อทางหัวเมืองทางเหนือเวลาโดนตีไล่มา จากเชียงใหม่ลงมาเลย จากเชียงใหม่ไล่เลาะลงมา ถ้าหากว่าสู้ไม่ได้ก็ทิ้งเมืองหนี ไอ้ทิ้งเมืองหนีถึงเขาไม่เผา มันก็กลายเป็นเมืองร้างมันก็ปรักหักพังพอ ๆ กันนั่นแหละ
              สมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านถึงได้ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือลงมาตั้งพันกว่าองค์ เอามากรุงเทพพันกว่าองค์ องค์ไหนที่สำคัญหรือมีลักษณะงดงามก็แจกจ่าย ให้วัดโน้นวัดนี้ เป็นพระประจำพระอุโบสถบ้างประจำวิหารบ้าง ที่เหลือทั้งหมดก็ระเบียงไปวัดโพธิ์เข้าไปดูเถอะหลายร้อยองค์เรียง เป็นแถวเลย บางทีเห็นรูปเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เขาถ่ายรูปพระพุทธรูปเป็นแถวยาวเหยียด นั่นแหละระเบียงวัดโพธิ์ เพราะวัดโพธิ์เขาถือว่าเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑
               พระที่สำคัญ ๆ ที่เอามาสมัยนั้นที่มีอยู่ก็อย่าง ?พระพุทธเทวปฏิมากร? ซึ่งปัจจุบันนี้ประจำพระอุโบสถอยู่ แล้วก็หลวงพ่อนาคปรก ชื่ออะไรนะ จำชื่อไม่ได้ ใช้คำว่า ?อุรัคอาสน์อำไพ? คือว่า ?อาสนะงูที่สวยงาม? จะเป็นพระนาคปรากที่สวยที่สุดในประเทศไทยเลย ไปดูได้ แล้วก็มี ?หลวงพ่อโลกนาถ? เป็นพระพุทธรูปยืนหล่อด้วยสำริดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็อยู่นั่น (วัดโพธิ์หมดเลย) วัดโพธิ์แทบทั้งนั้น ?หลวงพ่อพระนอน? นี่ไม่แน่ใจว่าปูนหรือโลหะ แต่หลวงพ่อพระนอนนี่คงสร้างขึ้นทีหลัง
       ถาม :   วัดโพธิ์นี่รัชกาลที่ ๑ อีกเหรอ ?
       ตอบ :    ก็ท่านสร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาล วัดอื่น ๆ ก็ได้ไปเยอะอย่างหลวงพ่อโตศรีศากยมุณี วัดสุทัศน์ นี่ก็มารุ่นนั้น
       ถาม :   จำได้แล้วครับ เข้าไปเห็นครั้งแรกไม่รู้ทำไมต้องร้องไห้น้ำตาไหล (หัวเราะ)
       ตอบ :   ไม่นึกว่าจะมีพระใหญ่และสวยอย่างนี้มาก่อน 
       ถาม :    ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)
       ตอบ :  ฉลาดมาก ในกรุงเทพพระดี ๆ ซ่อนอยู่เยอะต้องไปตามแบบเดียวกับที่ปิดเทอมที่แล้วพาเด็ก ๆ ไปตามแคะพระจากเชียงใหม่ไล่ทีละวัดทีละองค์ เขาไม่รู้หรอกว่ามี เราก็บอกว่าตรงนั้น ๆ มี แล้วก็ไปดูไปกราบกัน ที่แน่ ๆ คือคุณ ส.ท.สมาชิกสภาเทศบาลเชียงใหม่แท้ ๆ ถามมันมันไม่รู้หรอก เจริญมาก (หัวเราะ) ปล่อยให้คนต่างบ้านต่างเมืองอย่างเราพาไป มันน่าเตะจริง ๆ
       ถาม :    การรบกันสมัยก่อนเขาจะใส่เกราะ เป็นอย่างไรครับ หรือว่าไม่ใส่ ?
       ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็........ถ้าหากว่าไม่มั่นใจตัวเองก็จะใช้พวกหนังควายตากแห้งทำ เป็นเกราะ แต่ถ้ามั่นใจในตัวเอง คิดว่าคาถาดีวัตถุมงคลดี หรือไม่ก็พวกกินว่านยาสักยันต์สักอะไรที่เหนียวแน่ ท่านไม่ใช้ให้เสียเวลามันเกะกะ
       ถาม :    อย่างนี้ก็ไม่ใช้เกราะโลหะเหมือนที่ในหนังสุริโยทัย ?
       ตอบ :   เกราะโลหะนี่สมัยนั้นมันทำกันไม่ไหว เวลาศึกเวลาสงครามแค่เอาทำอาวุธมันก็หายากแล้ว
       ถาม :    อ้าว ...แล้วเกราะเป็นอะไรครับ สมัยนั้น ?
       ตอบ :  หนังส่วนใหญ่ (อ้อ ! หนังสัตว์อย่างนี้เหรอครับ) ถ้าหากประเภทเลิศจริง ๆ ก็หนังแรด หายากมาก (มีเหรอครับ ?) มี ! (เมืองไทยน่ะนะ ?) เออ ! ถ้าหากว่าประเภททั่ว ๆ ไปใช้หนังควาย ลองดูเหอะ หนังควายตากแห้ง เอาอีโต้จามหรือขวานจามดูจะเข้าไหม (หัวเราะ) เด้งกลับเลยแหละ (หัวเราะ)
       ถาม :    อ้าว ! อย่างนี้ตายก็ช้ำในซิครับ ?
       ตอบ :    ช้ำก็ช้ำแหละ ตอนสู้กันนี่ไม่ค่อยรู้สึกหรอก พอหลังจากนั้นแล้วนอนแผ่รักษาตัวกันเป็นเดือน
       ถาม :    โห ! แต่ในหนังนี่เอาซะอลังการเลยครับ แต่งซะเต็มยศ
       ตอบ :  จริง ๆ เขาต้องแต่งสวย ๆ จริง ๆ นะ มันเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่งคล้าย ๆ กับว่าข่มคู่ต่อสู้ไว้ก่อนน่ะ ของเราประเภทอยู่ดีกินสบาย อะไรมาถึงเลิศมาเชียว ฝ่ายตรงข้ามฝ่อไปครึ่งหนึ่งแล้ว เฮ้ย ! จะสู้มันได้เปล่าวะ ?
       ถาม :  อย่างนี้หนังควายก็ต้องมาแต่งสี ทำอลังการ ? 
       ตอบ :  ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนั้นลักษณะนั้น บางทีที่คุณบอกว่าเห็นเป็นโลหะมันอาจจะไม่ใช่โลหะนะ มันอาจจะฝังพวกอะไร.....เอาทองมาประดับเพิ่มก็มีอยู่ พวกบรรดาแม่ทัพอย่างน้อย ๆ ก็ประเภทดาบคร่ำทอง คำว่า ?คร่ำ? ก็คือว่าแกะลายแล้วฝังทองลงไป ดาบคร่ำเงิน ดาบคร่ำทอง ถ้าหากว่ารวยจริง ๆ ก็ประเภทเล่นฝักเงินฝักทองไปเลย
       ถาม :   กรมการศาสนาไม่มาตรวจบ้างหรือ (หมายถึงบ้านอนุสาวรีย์) ?
       ตอบ :  พวกตำรวจนอกเครื่องแบบมาบ่อย มันขึ้นมามันคิดว่าเราไม่รู้ แต่ความจริงพวกตำรวจมาดมันดี ถึงมันมานอกเครื่องแบบก็เถอะมาถึงก็ถามว่าเป็นไงมีบ่อนมั้ย ? หัวเราะแหะ ๆ มันเห็นรองเท้าข้างล่างเยอะคนขึ้นมาก็หาย ๆ มันคิดว่าตั้งบ่อน มาถึงเราดักคอไว้ก่อน หัวเราะแหะ ๆ (หัวเราะ)
       ถาม :    อย่างนี้แล้วเขาไม่ว่าอะไรเหรอครับที่มาอยู่อย่างนี้ มารับสังฆทาน ?
       ตอบ :    ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่เป็นไร ถ้าหากประเภทหลอกลวงประชาชนบ้าง รักษาโรคบ้าง อะไรนี่โดน แน่แหละ ถ้าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์
       ถาม :    เวลาเกิดศึกสงครามที่มีคนฆ่ากันมาก ๆ วิญญาณที่เขายังไม่ไปผุดไปเกิดนี้เราจะช่วยเขาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
       ตอบ :  อันนั้นต้องถามเขาว่าเขายอมรับความช่วยเหลือมั้ย ? เท่าที่มีประสบการณ์มา อย่างพวกผีญี่ปุ่นก็ตายตอนสงคราม มันคว้านท้องมันตายเพื่ออยู่รักษาสถานที่บางแห่ง บอกมันอย่างไรมันก็ไม่ฟังเรา บอกเขาบอกว่าสงครามมันเลิกไปตั้งนานเนกาเลแล้ว ญี่ปุ่นแพ้สงครามด้วย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นเจริญจนคนอื่นตามไม่ทันแล้ว มันไม่ฟังหรอก เป็นไปได้อย่างไร และแป๊บเดียวเท่านั้นญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม มันต้องถามว่าเขายอมให้ช่วยหรือไม่ ?
               บางสถานที่อย่างที่สมัยอยู่กองพลที่  ๙ กาญจนบุรี ค่ายสุรสีห์ วันดีคืนดีทหารได้ยินพร้อม ๆ กัน มันเป็นเสียงของคนโบราณแบบยกทัพประจัญบานกัน เสียงช้างเสียงม้า เสียงอาวุธกระทบกัน เสียงคนร้องโอดโอย เสียงคนกระตุ้นให้พรรคพวกเขารบกันอะไรอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นละก็เขาไม่ฟังเราแน่ ๆ เลยแหละ
       ถาม :    ...........................
       ตอบ :    แต่ว่ามันเกิดจากอานุภาพของเขา
       ถาม :   ทำร้ายคนได้ด้วยเหรอครับ ?
       ตอบ :    พวกนี้ของเขาจริง ๆ  แล้วก็อยู่ในประเภทสัมภเวสีหรือไม่ก็ที่เขาเรียกลักษณะปู่โสมน่ะ
       ถาม :   อย่างนี้สัมภเวสีที่ล่องลอยไปในโลกปัจจุบันก็น่าจะทำร้ายเราได้ด้วยซิ ?
       ตอบ :  สวนใหญ่เขาลำบากพอแล้ว มันไม่ใช่ประเภทดวงจิตเขาตั้งมั่นอยู่ในหน้าที่ของเขา ถ้าอย่างนั้นเราไปล่วงละเมิดในขอบเขตหน้าที่ของเขานี่เขาเอาแน่

kaka123

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 02:52:05 »

ผมพึง่ไปทำบุญมาเหมือนกันกับท่านครับ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 21:42:59 »

ผมพึง่ไปทำบุญมาเหมือนกันกับท่านครับ

ไปทำบุญกับท่านที่ไหนเหรอครับ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 12 เมษายน 2009, 21:44:16 »

http://grathonbook.net/book/15.4.html

ถาม :   ไปเที่ยวเมืองกาญจน์ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ ?
       ตอบ :     ถ้ามุดเข้าไปในนั้นน่ะน่ากลัว ถ้าไม่เข้าไปไม่เป็นไร 
       ถาม :     แล้วอย่างนี้วิญญาณคนที่ตายหมู่ จะเป็นลักษณะแบบที่เจออย่างนี้หรือเปล่า ?
       ตอบ :  พวกตายหมู่ ต้องดูด้วยถ้าหมดอายุขัยก็ไปตามบุญตามกรรมตัวเอง ถ้าไม่หมดอายุขัยมีคนเขาทำบุญให้ รับได้โมทนาได้ก็สบายหน่อย มีบ้างพวกเขาเรียกว่าอะไรจำไม่ได้แล้ว จะมีพวกหนึ่งที่มันจะติดอยู่กับที่ไปไหนไม่ได้ เป็นแรงกรรมของเขาโดยเฉพาะพวกนี้ถ้าไม่มีคนใหม่มาตายตรงนั้นเขาจะไปไม่ได้
              มีอยู่ประเภทหนึ่งเหมือนกันแต่น้อยหน่อยแล้วที่คนเขาไปตายตรงนั้นแล้วเขาไป ได้ ก็ไม่ใช่เพราะว่าอำนาจของเขาดึงให้ไปตายนะกรรมของคนใหม่พาไปตาย มันพอดีกันเขาจะพ้นแล้วรายนี้ก็ลงไปแทน
       ถาม :  ตอนนั้น....มันมีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เคยไปทีพระปรางค์สามยอด พอไปถึงแล้วถูกผลักออกมา แบบลมมันแบบเหมือนจะวูบ แล้วผลักอก จะพยายามเดินเข้าไปประมาณ ๔ ? ๕ ก้าว ก็เข้าไม่ได้ เข้าแล้วถูกผลัก อันนั้นมันเป็นแรงต้านจากอะไรเจ้าคะ ?
       ตอบ :     อันนี้ไม่แน่ใจนะ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวไปที่พระราชวังมัณฑเลย์ พอ เริ่มเข้าเขตพระราชวังนี่ มันดาหน้ามามืดไปหมดเลย เขาจำได้ว่าไอ้นี่เคยฟันหัวกันมาศัตรูคู่แค้นตัวฉกาจเลย นี่บุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว เราก็บอกเฮ้ย ๆ ใจเย็น ๆ นี่มันคนละชาติคนละภพคนอะไรกันแล้ว ตอนนี้อาตมาก็เป็นพระด้วยอย่ายุ่งกันได้ไหม มันไม่ฟัง ในเมื่อมันไม่ฟังแต่เราอยากเข้าไปดูก็ใช้วิธีหน้าด้านเดินเข้าไป ปรากฎว่าพวกเขาในเมื่อเขาทำอะไรเราไม่ได้ เขาอยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับว่าล้อมเราเอาไว้ เป็นการควบคุมเพื่อที่ป้องกันเราจะไปทำอันตรายอะไรเขาตามที่เขายึดถืออยู่ โดยไม่ยอมเลิก ของเราก็เลยเหมือนอย่างกับแบกอะไรหนัก ๆ แล้วเดินนะ โอ้โห ! กว่าจะเดินทั่วกว่าจะหลุดออกมาได้นี่ใช้พลังงานมากกว่าปกติหลายเท่า
              คราวนี้พอหลุดพ้นเขตเขาออกมาเขาเลิกบีบเราเสียศูนย์เดินไม่เป็น...เป๋เลย เดินไม่ถูก เราวางน้ำหนักเท่านี้ ตอนนี้มันเดินไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นผิดจังหวะไปหมด อันนั้นนี่เขาเห็นเราเป็นศัตรูเขาไม่ให้เราเข้า แต่ของเรานี่ (หมายถึงผู้ถาม) ต้องถามเขาเองว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามันก็น่าจะเป็นลักษณะอาการเดียวกันคือ เขาไม่ยินดีต้อนรับ
       ถาม :    พระปรางค์สามยอดไม่ใช่วัดหรือคะ ?
       ตอบ :     ก็เป็นศาสนสถานของทางพาหมณ์ ลัทธิไศวนิกายเขา
       ถาม :   อย่างนี้แสดงว่าเขาจำหลวงพี่ได้ด้วยซิครับ ?
       ตอบ :     จำได้ซิ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ
       ถาม :     แสดงว่าหน้าไม่เปลี่ยน ?
       ตอบ :     ยิ่งเขาอยู่ในความเป็นทิพย์นี่ เขาจำได้แน่นอนเลย
       ถาม :     อ้อ ผมนึกว่าหน้าไม่เปลี่ยน (หัวเราะ)
       ตอบ :    อาจจะไม่เปลี่ยนก็ได้
       ถาม :    คือว่าไปอธิษฐานจิตกับหลวงพ่อโตที่วัดสังฆทาน แล้วบอกท่านว่าขอให้ลูกได้มีญาณที่แก่กล้าเพื่อนำมาใช้ช่วยคนให้เป็น ประโยชน์กับคน แล้วที่นี้ก็อธิษฐานต่อว่าขอให้ลูกได้เห็นได้รู้ในสิ่งตามความเป็นจริง ก็เห็นเป็นจริงเจ้าค่ะ แต่มันเห็นเป็นจริงเกินไปนิดหนึ่งเจ้าค่ะ
       ตอบ :    (หัวเราะ) ความจริงไม่มีเกินไป (หัวเราะ)
       ถาม :  คือเห็นตัวเองเป็นซากศพอยู่ตลอดเวลาเลยเจ้าค่ะ (ก็ดีแล้วไง) เห็นเส้นเลือด เห็นตับไตไส้พุงทั้งในของตัวเอง แล้วมันก็เกิดอาการกลัว (หัวเราะ)
       ตอบ :  (หัวเราะ) จริง ๆ น่าจะดีใจโอกาสอย่างนั้นมันยากน่ะ ของอาตมาเองกว่าเขาจะยอมโผล่มา ลักษณะที่ว่าเอาพวกอสุภกรรมฐานมาให้ดู ปล้ำกันเป็น ๑๐ ปี ของเราได้อย่างนั้นน่าจะดีใจ แล้วรีบ พิจารณาให้เห็นว่าสภาพแท้จริงของ ตัวเราก็เป็นแบบนี้ คนอื่นก็เป็นอย่างนี้ จริง ๆ แล้วไม่ว่าเราว่าเขาแล้ว มันไม่มีอะไรน่ารักน่าชอบใจเลยแม้แต่อย่างเดียว ร่างกายและสภาพที่มีแต่ความสกปรกเน่าเหม็น เราเกิดมาเมื่อไหร่ก็มีมันอีกเข็ดหรือยังพอหรือยัง ? ควรจะหนีไปนิพพานได้หรือยัง ? น่าจะพิจารณาต่อไปเลยนะ
       ถาม :    พิจารณาต่อไปเลยหรือเจ้าคะ ความรู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ
       ตอบ :  (หัวเราะ) มันไม่แปลกหรอก เพียงแต่ว่าของเราเองมันไม่ชินกับระยะแรก ๆ แล้วจิตใจของเรามันอยู่ในลักษณะว่ายังกลัวอยู่ ในเมื่อยังกลัวอยู่มันก็ยังต่อต้านอยู่นะ แต่ไม่เป็นหรอกญาณนี้สัก ๒๐ ปีมันก็แก่ แต่จะกล้าหรือเปล่าไม่รู้
       ถาม :  (หัวเราะ) แก่อยู่แล้วเจ้าค่ะ (หัวเราะ) มันแก่อยู่ทุกวันเลย พูดถึงการไปช่วยเหลือคนเจ้าค่ะ พอไปช่วยเหลือเขาแล้ว ราวกับว่าเราไปทำให้เขามีความวิตกกังวล คือเราเห็นภาพเขาว่าคน ๆ นี้จะต้องเกิดอุบัติเหตุรถชนถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการ
       ตอบ :     แล้วเราก็รีบไปบอกเขา ?
       ถาม :  ค่ะใช่ เราก็เลยบอกเขาว่าไปทำบุญซะนะ คุณจะมีเคราะห์หนักขั้นเสียชีวิตหรือพิการ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญเจ้าค่ะ พอทำเสร็จก็ผ่านไปได้ประมาณเดือนกว่า ๆ เขาก็ประสบอุบัติเหตุรถชนจริง ๆ แต่ว่าเขาไม่เป็นไร รถพัง แต่เขาก็มามีคนมาบอกว่า เราพูดไม่ดีว่าไปเตือนเขา ทำให้เขาวิตกกังวล เขาเลยเกิดอุบัติเหตุ
       ตอบ :  คราวหน้าเตือนคนอื่นคนพูดอย่าไปเตือนมัน (หัวเราะ) เตือนคนอื่นต่อไปแต่คนพูดอย่าไปเตือนมัน ใช้ลักษณะนั้นแหละจ้ะ คือว่าอย่าไปบอกตรง เพราะว่าบางอย่างวาระกรรมของเขามันต้องเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใบ้ให้เข้า บอกแค่นั้นแหละ
       ถาม :    ไม่ทราบว่าจะบอกอย่างไรดีเจ้าคะ  พอเห็นภาพก็บอกปุ๊บ
       ตอบ :  ถ้าอย่างนั้นอาจะต้องเดี้ยงแทนสักวันหนึ่ง (หัวเราะ) ตอนนั้นกำหนดใจนึกถึงพระนิดเดียวแหละจ้ะ ว่าหนูควรจะบอกได้เท่าไหร่ ได้โปรดสงเคราะห์ด้วย ความรู้บอกได้เท่าไหร่ก็บอกแค่นั้น เพราะว่าแต่ละคนบุญกรรมมันไม่เท่ากัน บางคนนี่ต้องใบ้อย่างชนิดรู้ร้อยบอกได้ไม่ถึงหนึ่งอย่างนี้ ถ้าประเภทนั้นถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ เขาจะไม่เข้าใจเลย แล้วถึงเวลาก็เดี้ยงไปตามระเบียบ
       ถาม :     ถ้าอย่างนี้ ต้องขออาราธนาพระทุกครั้งที่ ......?
       ตอบ :  ต้องขอพระอยู่ตลอดจ้ะ อย่าทิ้งพระเป็นอันขาด โดยเฉพาะเรื่องอย่างนี้ของเราที่ทำอยู่มันอันตรายว่าถ้าเผลอมันฝืนกฎของกรรม เข้า ถ้าเราไปฝืนเข้าจะเข้าตัวเอง
       ถาม :     แล้วพอช่วยเขา เราก็ป่วยหนักค่ะ ?
       ตอบ :     ไม่เป็นไรจ้ะ อันนี้รับได้ ก็เต็มใจจะรับอยู่แล้ว  เพราะรู้อยู่ว่าทำแล้วจะโดน
       ถาม :  ทีนี้พอเกิดกรณีนี้ขึ้น มันทำให้ไม่กล้าจะดูให้ใครเจ้าค่ะ พอใครเขาถามเราก็บอก เรายังไม่พร้อมที่จะช่วย แล้วเราจะไม่ทำต่อเลย ดีมั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :    ตัดสินใจเองจ้ะ
       ถาม :   ไม่เป็นใช่มั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :  อาจจะเป็น (หัวเราะ) บอกว่าตัดสินใจเอง อันนี้ไม่สนับสนุนขณะเดียวกันก็ไม่คัดค้านจ้ะ เลือกเอาคิดจะสร้างบารมีง่าย ๆ ก็ว่าต่อไปแต่ตัวเองก็สาหัสหน่อย
       ถาม :     ทำอย่างไรถึงจะหลบเลี่ยงไม่ให้เจอสภาพอย่างนี้อีก ?
       ตอบ :    เลิกคิดไปนิพพานซะ (หัวเราะ) ตอบตรงเป๊ะเลย
       ถาม :  มีเพื่อนที่รู้จักเจ้าค่ะ เขาไปทำพิธีครอบองค์ รับองค์น่ะค่ะ แล้วทีนี้มีผู้ที่หวังดีใช้มีดหมอ ช่วยทำให้เขา กะว่าจะให้ครอบนี้หลุด แต่มันไม่หลุดเจ้าค่ะ แล้วทีนี้เราก็ไปนั่งช่วย เหนื่อยมากเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าความหวังดีตรงจุดนี้เราจะช่วยอย่างไร ?
       ตอบ :     ช่วยอย่างไร อันดับแรกถ้าขันครูอยู่น่ะ บอกกับเขาบอกว่าที่ครอบมาขออนุญาตคืนจ้ะ แล้วก็ลอยน้ำไปซะก่อน ถ้าขันครูยังอยู่แก้ไม่ได้นะจ้ะ พวกไปครอบครูรับขันรับอะไรมาระวังนิดหนึ่ง เพราะว่าระยะหลัง ๆ มีพวกหากิน พอเราไปรับของของเขามาเท่ากับว่าเรายอมรับการเป็นบริวารของเขา เขาจะใช้ผีใช้ไสยศาสตร์ควบคุมเราได้ง่ายขึ้น มีพวกหากินทางด้านนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจะรับจะอะไร พิจารณาให้ดี ระวังตัวเอาไว้ด้วยเดี๋ยวจะเสียท่าเขาง่าย ๆ ส่วนคนที่รับมาแล้ว ถ้าหากว่าระแวงหรือว่ากลัวขึ้นมาก็อย่างที่ว่านั่้นแหละ บอกเขาว่าที่รับมาขออนุญาตส่งคืน ตอนรับนั่นไม่รู้เรื่องเลยไม่รู้รับมาได้อย่างไร
       ถาม :    แล้วตอนขออนุญาตส่งคืนนี่จะต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
       ตอบ :     เอาลอยน้ำไปจ้ะ
       ถาม :    เอาอะไรลอยน้ำเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ก็ขันครูเขามีอยู่จ้ะ
       ถาม :    ที่เขาติดตัวอยู่เหรอคะ
       ตอบ :  ที่เขาให้มา ส่วนใหญ่พวกนี้เขาจะให้ขันครูมา อาจจะเป็นขัน ๕ ขัน ๘ เขาจะให้มาแล้วให้เราบูชา แล้วก็จัดดอกไม้ธูปเทียนเป็นประจำ อาจจะทุกวันพระ ทุกวันศุกร์ ทุกวันพฤหัส อะไรอย่างนี้ เอาลอยน้ำไปซะ ถ้าโกรธเขามากก็ลอยน้ำครำไป (หัวเราะ)
       ถาม :    แล้วมันจะไปเหรอเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นแล้ววิธีแก้มันจะง่ายขึ้น แต่ถ้าหากขันครูเขายังอยู่แก้ยาก เดี๋ยวก็ฟันกันทั้งวันจนกระทั่งเราเองหมดแรงแล้ว มันยังไม่เป็นอะไรเลย พวกนี้อันตรายเหมือนกัน ถ้าหากเราไปสู้รบปรบมือกับเขา จากประสบการณ์ที่เจอมาก็คือว่าถึงกำลังของเราจะสูงกว่าก็จริง แต่เราต้องกินต้องนอน เจ้าพวกนั้นมันไม่ต้องกินไม่ต้องนอน มันตามเล่นเราอยู่ตลอดเวลาเลย เผลอเมื่อไหร่โดน
       ถาม :   กำลังนึกอยู่เลยครับว่า ไหว้พระหลวงพ่ออย่างนี้ จริง ๆ ก็น่าจะคุ้มไหมครับ ?
       ตอบ :    ก็ถ้าหากว่าอาราธนาประจำนะ โดยเฉพาะเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ เข้าไปในพิธีของเขาเจ๊งหมดเลย เขาจะทำพิธีต่อไม่ได้เลย เจอมาหลายรายแล้ว ไม่ได้เจตนาเลย แต่ว่าอยากรู้อยากเห็น เขาบอกว่าเขาทรงพระยายมราช เพื่อนก็เมตตาไปเหอะไปดูหน่อย เอ้า ! ไปก็ไป พอไปถึงความเคยชินของเราก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อ นึกถึงพระ ภาวนาพุทโธเป็นปกติอยู่แล้วใช่มั้ย ? ปรากฎว่ามันทรงให้ตาย ก็ทรงไม่ได้ (หัวเราะ)
       ถาม :   อ้าว....ไม่มาเลย
       ตอบ :  ก็มาแว๊บหนึ่ง เห็นเขาจุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้งเหมือนกัน นั่ง ๆ ลักษณะเหมือนจะเริ่มสั่น ๆ แล้วก็หงายหลังฟาดพื้นโครมเข้าให้ แล้วลุกขึ้้นมาบอกว่าทรงไม่ได้ท่านมาแป๊บเดียวก็ไป สงสัยมาแต่เท้า (หัวเราะ) หงายหลังฟาดพื้นไปเลย ลักษณะนั้นแหละ ส่วนอีกทีหนึ่งก็เขาชวนไปเล่นผีถ้วยแก้ว เราพอได้ยินว่าผีก็กลัวเราก็ภาวนาพุทโธ มันเชิญแทบตายไม่ลงซักที พอเลยเที่ยงคืนไปแล้วไปนอนกันดีกว่า (หัวเราะ) ลืมไปคือด้วยความเคยชินของเราถึงเวลาเราก็ภาวนานึกถึงพระไว้ แล้วผีที่ไหนมันจะมาได้ล่ะ เล่นเอาเจ้าพิธีนี่หน้าเสียเลย ก็เขาเคยทำได้ผลทุกที ชวนพวกไปตั้ง ๔ คน ๕ คน กลายเป็นว่าทำแล้วไม่สำเร็จตามที่คุยเอาไว้ เสียหน้าหมด
       ถาม :   แสดงว่าของผีมาจริง ๆ หรือไงครับ ผีถ้วยแก้ว ?
       ตอบ :  ผีมาจริง ๆ แต่ต้องระวังขนาดเราระบุว่าเชิญใคร มันยังมาก่อนได้เลย เพราะว่าเรื่องของผี เรื่องของเทวดา เขาถือมารยาทตัวที่มาก่อนก็รับไป
       ถาม :    อ้าว ......อย่างนี้แต่เขาก็รู้เหมือนกัน
       ตอบ :  ใช่แต่ว่าบางสิ่งที่เขาต้องการรู้ ถ้าหากว่าถามปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่มีความรู้เขาตอบไม่ได้ หรือไม่ก็บางทีจากเป๋เข้าป่าเข้าดงไปเลย
       ถาม :  พูดถึงผี ตอนนั้นไปงานศพเจ้าค่ะ พอไปงานศพ ผีเอ่อ.....วิญญาณของคนที่เสียชีวิตนี่เขาเดินอยู่รอบศพ คือเขาเสียชีวิตแล้ว แบบเขายังไม่ได้สั่งเสียเจ้าค่ะ เราก็เห็นเราก็มองตามเขา เขาก็เห็นว่าเรามองเขาเห็น เขาก็มาเดินอยู่รอบตัวเราแทนที่จะวนศพเขา เขาก็บอกว่า ขอหน่อย ขอเข้าหน่อย ทีนี้ไม่ทราบ เราก็แบบสวด ๓ จบแล้วเจ้าค่ะ พอ ๓ จบเราก็ยังไม่ให้ ไม่ให้เข้า มีความรู้สึกว่ากลิ่นธูป กลิ่นน้ำอบเข้ามาที่ปากค่ะ พอเข้ามาปุ๊บเข้าได้เท่าเนี้ยะค่ะ แล้วเขาก็พูดออกมาเป็นภาษาจีน ทำไมเขาถึงเข้ามาได้ ขณะที่เราไม่ได้อนุญาตเลยเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ของเราเองตอนนั้นเผลอไง อย่าลืมตรงคำว่า เผลอนะ ระหว่างที่กินอยู่ ระหว่างที่เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ระหว่างที่เคลิ้มใกล้จะหลับ จังหวะนั้นถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็เสร็จ หลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้เราภาวนาหรืออาราธนาพระให้เป็นประจำไว้ เพราะว่าถ้าหากว่าถึงระดับนั้นแล้วตัวเราถึงเผลอ แต่ว่าพระหรือเทวดาที่ท่านรักษาอยู่ท่านจะไม่เผลอ ท่านก็จะช่วยให้ ของเรานี่เขาเข้าได้แค่นั้นนับว่าเก่งมากแล้วจ้ะ ถ้าหากมันเข้าได้มากกว่านั้น ดีไม่ดีแสดงอาการพิลึกพิลั่น กลายเป็นเจ้าแม่ไปแล้ว
       ถาม :    พูดอย่างเดียวเจ้าคะ ถ้าอย่างนี้คือถ้าเราเผลอหรืออะไรก็ตามได้เลย
       ตอบ :  เผลอเมื่อไหร่โดนแน่จ้ะ ถ้าเป็นความต้องการของเขา ก็บอกแล้วว่าอย่างที่เปรียบเทียบว่าของเราต้องกิน ต้องนอน ของเขาไม่ต้อง ดังนั้นเขารอจังหวะของเขาอยู่ เผลอเมื่อไหร่ก็โดน
       ถาม :  อันนี้ก็เคยโดนอีกรอบหนึ่งเจ้าค่ะ เผลอเหมือนกันตอนเข้าห้องน้ำเจ้าค่ะ ตอนเข้าไปนะเจ้าคะ ตอนแรกยังไม่มีอะไร พอเข้าไปสักพักกลิ่นเริ่มมาแล้วเจ้าค่ะ พอกลิ่นเริ่มมา เราทำธุระ ก็ เอ๊ะ !ทำไมกลิ่นมันแรงขึ้นเรื่อย ๆ พอเข้าไปประตูมันเปิดไม่ได้เจ้าค่ะ พอเปิดไม่ได้ปุ๊บทำไงล่ะ กลิ่นมันมา ๆ พอภาวนาถึงพุทธองค์ ขอบารมีปุ๊บ กุญแจเปิดได้ พอเปิดได้วิ่งออกมาบอกคนข้างนอก บอกว่าบ้านนี้มีผีมีคนตาย พอเราอ้าปากเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ เข้ามาอีกแล้วเจ้าค่ะ โอ้โห ! กินน้ำมนต์ อาเจียน ๆ เจ้าค่ะ แล้วทำไมพวกนี้ถึงได้ตามตลอดเลย ?
       ตอบ :  มันคล้าย ๆ เบอร์โทรของเรามันต่อได้อยู่เบอร์เดียว มันไปต่อเครื่องอื่นมันเสียหมด มันติดต่อไม่ได้มันก็ต้องตามใช้เบอร์นี้แหละ (หัวเราะ)
       ถาม :    ตามตลอดเลยเจ้าค่ะ ก็มีความรู้สึก เราจะมีวิธีอย่างไรที่ไม่ให้พวกนี้เข้ามา ?
       ตอบ :     ก็อย่าเผลอจ้ะ อย่าเผลอ
       ถาม :    ไม่เผลอนี่มันลำบากนะเจ้าคะ ?
       ตอบ :     หาน้ำมันชาตรีหลวงพ่อก็ได้ ก่อนจะไปไหนเจิมหัวซะก่อน หรือไม่ก็กินไปสักอึกหนึ่งเลย นั่นแหละ คราวนี้มีัปัญญาก็มุดเข้ามาซิ มุดเข้าไปก็ชนพระหงายท้องออกมาก่อน
       ถาม :    แล้วถ้าเราพกพระติดตัว แล้วอาราธนาบอกท่านน่าจะกันได้นะเจ้าคะ ?
       ตอบ :     บอกท่าน บอกว่าทุกเวลาเลยนะเจ้าคะ ถึงอีฉันเผลอ แต่ท่านห้ามเผลอเด็ดขาด
       ถาม :    ไม่ค่อยได้อธิษฐานบอกท่านน่ะเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :  คราวนี้ก็จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วที่หลวงพ่อพูดน่ะมันตรงทุกอย่าง ท่านบอกแล้วว่าเวลากิน เวลาเข้าห้องน้ำ ห้องส้วมหรือเวลาเคลิ้มใกล้หลับ มันเป็นเวลาที่เราพลาดได้ง่ายที่สุด ต้องระวังกันตลอดเวลา บางคนน่ะ เข้าส้วมแล้วว่าภาวนาไม่ได้....บาป ระวังไว้เหอะ เดี๋ยวมันบีบคอตายคาส้วมนั่นแหละ (หัวเราะ) ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามภาวนาเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเกิดปุ๊บปั๊บเป็นอะไรไปตอนนั้นกำลังใจเราไม่มีที่เกาะ ถ้าเผลอไปมันจะลงที่ลำบาก เพราะฉะนั้นต้องเกาะพระไว้ให้เป็นประจำนะ ยิ่งเข้าส้วมยิ่งดีภาวนาให้หนัก พระท่านไม่เหม็นหรอกไม่ต้องกลัว
       ถาม :  (หัวเราะ) แล้วก็มีเหตุการณ์อยู่เหตุการณ์หนึ่งที่พึ่งจะผ่านมา ๒-๓ อาิทิตย์นี้เจ้าค่ะ พอดีอยู่ดี ๆ ตัวเองก็เกิดสภาวะเศร้า ๆ แบบไร้เหตุผลเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรเหตุที่จะเศร้า พอดีเกิดอาการเศร้า ๆ แล้วก็เห็นหน้าเพื่อนอยู่ ๒ คน เธอก็เศร้า ๆ ทีนี้ก็มีเพื่อนเขาบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเขา เราก็เลยไม่ยุ่ง เราก็นั่งเศร้าแต่ก็เห็นหน้าสองคนนี่ลอยมา ก็นั่้งเศร้า ทีนี้พอผ่านจากช่วงนั้นมาก็ไปติดต่อเพื่อนคนนั้นว่าเป็นอย่างไร เขาเจออุบัติเหตุน่ะค่ะ เขาบอกว่าทำไมไม่บอกเขาล่วงหน้า ก็บอกว่ามีคนบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทำไมเราถึงได้รับทราบตรงจุดนั้นได้ยังไงเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ก็เบอร์โทรดีไง มันติดต่อได้ง่าย ถึงเวลาขึ้นมานึกเลย แหมจริง ๆ มันน่าจะบอกเราตั้งแต่แรก ก็ไม่ยอมบอก เล่นเอาเรานอนเป๋ แล้วมันค่อยมา (หัวเราะ) ตอนที่เขานึกถึงน่ะ กำลังใจประเภทนั้นน่ะจ้ะ ของเรามันรับได้ไวรับได้ง่ายกว่าก็เลยรับเอาความรู้สึกนั้นมา เพื่อนก็คงประเภททั้งโกรธ ทั้งน้อยใจเรานี่รู้แน่ ๆ เลยไม่ยอมบอกเราไง ในเมื่อทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจอารมณ์ใจของเขามาในลักษณะนั้นก็อาการเดียวกับของเขาเลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 16 เมษายน 2009, 19:54:35 »

http://grathonbook.net/book/15.5.html

ถาม :  อันนี้คือเรารับอาการของเขามาเลย แล้วก็มีแบบว่าหน้าคนลอยมาเจ้าค่ะ ลอยไปก็ลอยมา สักพักหนึ่งก็โทรมาหาค่ะ แล้วเราก็รู้เขาจะโทรมาเรื่องนี้ ๆ เราก็เตรียมรอนั่งหน้าโทรศัพท์ หลวงพี่ทีนี้เอาเทปเข้าตลับก็เหมือนกันใช่ไหมเจ้าคะ ? (หัวเราะ)
       ตอบ :  (หัวเราะ) ไม่รู้ไม่ชี้จ้ะ อันนี้ห้ามยืนยัน ถ้ายืนยันเดี๋ยวมันจะมีประเภทขี้เกียจ เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์วัดและพระนี่ต้องไล่เตะมัน มันจะพูดจะถามอะไร...ไม่หรอก มันใช้วิธีคิดแทน มันขี้เกียจพูด จนกระทั่งบางทีต้องบอกมันว่าถ้าขืนทำอย่างนี้อีกแล้วจะถีบมันแทน แล้วมันถึงจะยอมพูดนะ เป็นซะอย่างนั้น อะไรก็ตามที่ยังใช้สังขารร่างกายของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปทำได้น่ะทำเสียก่อน ไม่ใช่เล่นวิธีลัดประจำ ตอนนี้พระที่วัดมีอยู่องค์หนึ่ง ถ้าเราอยู่มุมนี้ของวัด เขาก็หนีไปมุมโน้น เราตามไปมุมโน้นมันหนีไปอีกมุมหนึ่ง กลัว....
       ถาม :    กลัวไปนั่งรู้เขาหรือครับ ?
       ตอบ :     ไม่ใช่ คือว่ามันมีบางทีเขาวางอารมณ์ผิด ตั้งอารมณ์ผิดแล้วก็บอกเขา เขาก็เลยพานกลัวไปเลย
       ถาม :    อ้อ ! ผมนึกออกแล้ว ที่หลวงปู่มั่นท่านเคยดูหลวงตาอะไรก็ไม่รู้ พอหลวงปู่มั่นลงไปบอก ย้ายวัดหนีเลย
       ตอบ :     ก็ประเภทนั้นน่ะ ...(ไม่ชัด)....มันคิดชั่ว ๆ ข้าไม่ดูหรอก มันก็ไม่ฟัง (หัวเราะ)
       ถาม :   กลัวเรารู้ใช่มั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :     อืม ! เขากลัว
       ถาม :  มันแปลกเจ้าค่ะ บางทีเรานั่งใกล้บางคนนี่นะเจ้าคะ เขาด่าเราอยู่ในใจ เราได้ยินเสียงชัดมากเลยเจ้าค่ะ แล้วเราก็พูดคำด่านั้นออกไปช้า ๆ ให้เขาได้ยินชัด ๆ เจ้าค่ะ แล้วเขาก็หันมามองหน้าเราตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยนั่งใกล้เราเลยเจ้าค่ะ
       ตอบ :     ก็ประเภทเดียวกันล่ะจ้ะ
       ถาม :    ทำไมได้ยินอย่างไรเจ้าคะ ยังงงเลย ทำไมเราได้ยินเสียงเขาคิดได้อย่างไร ?
       ตอบ :    ความรู้สึกเขาถ้ายิ่งต่ำเท่าไหร่เรายิ่งรับ ได้ง่ายเท่านั้นนะ แต่ว่าจะไม่เกินจากเสมอกัน ถ้าเกินจากนั้นขึ้นไปจนถึงสูงกว่าต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้ คนที่เสมอกันกับต่ำกว่าเราจะรู้ได้ง่าย ยิ่งอารมณ์เขาต่ำมากเท่าไหร่ยิ่งรู้ง่ายเท่านั้น เหมือนกับเราอยู่ในที่สูงแล้วมองลงไปมันจะเห็นชัดตา
       ถาม :    แต่เราจะไม่มองคนที่สูงกว่าใช่มั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :    ก็มองได้จ้ะ แต่ต้องขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้าหากว่าตั้งใจดูเอง อาศัยกำลังของเราเองไม่ขอพระท่านช่วยนี่จะไม่รูู้็เรื่องเลย
       ถาม :    ถ้าอย่างนี้การที่เราได้ยินพวกสัมภเวสี พวกเทพมาคุยกับเราได้ ?
       ตอบ :  ก็เรื่องปกติจ้ะ ที่เขา (หมายถึงพระที่วัด) กลัวมากที่สุดเขากลัวตอนไหนรู้มั้ย ? เขาจะกินขนมคือตอนเช้านี่มีของหวานไง แล้วก็ขนมกับผลไม้ คราวนี้ขนมนั่นมันใหม่เอี่ยมยังไม่ได้แกะถุง พี่แกก็นั่งอมลิ้นกลืนน้ำลายเชียว...อยากกิน แต่ไม่กล้าแกะ เราก็เลยบอก เฮ้อ ! ก็แกะไปซิหรือจะให้อาจารย์แกะให้กินถึงจะกล้า (หัวเราะ) คว้าได้ก็รีบแกะ หลังจากนั้นมันก็เดินหนีไปเลย (หัวเราะ)
       ถาม :  แล้วก็เจอเจ้าค่ะ ศาล เขาตั้งศาล พอตั้งศาลเขาก็ตั้งไว้อย่างนั้น แล้วเขาก็ไม่ได้จุดธูปเชิญซะที เจ้าที่ต้องมาบอกว่าช่วย ๆ เอาเขาขึ้นไปซะทีเถอะ ทีนี้เจ้าที่นี่เขามีสิทธิเข้ามาบอก เข้าฝันได้เหรอคะ ?
       ตอบ :  ได้ซิ ก็เจ้าเขาสูงกว่านี่ ถ้าหากว่าเขาติดต่อเราได้อาศัยผ่านเราได้ก็ขอยืมใช้หน่อย เต็มใจสงเคราะห์เขา ถ้าไม่เกินความสามารถก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่เต็มใจสงเคราะห์็บอกกับเขา บอกว่าเดี๋ยวจะบอกให้แต่เอา ๒ ตัวมาก่อน
       ถาม :   (หัวเราะ) อย่างนี้นี่เจ้าที่ท่านสงเคราะห์ได้อยู่แล้วใช่มั้ยครับ ถ้าโชคของเรา ?
       ตอบ :  ได้อยู่ แต่ระวังไว้นะ เรื่องของเทวดา เรื่องของผีเขาตรงไปตรงมา บอกเอา ๒ ตัว มันให้น่ะ ๒๐ งวดยังไม่ออกเลย ไม่ได้บอกว่างวดไหน เจอมาเยอะแล้ว
       ถาม :  (หัวเราะ) แต่สงสัยค่ะ เจ้าที่นี่เขาเป็นศาลดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว แล้วเขาก็เอาของเก่าออก แล้วก็เอาของใหม่ไปตั้งไว้ที่เดิม เขาก็น่าจะอยู่ได้ ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วเขาได้อยู่หรอก แต่ว่าลักษณะ ของคนมาใหม่หรือว่าคนที่ทำใหม่น่ะ ต้องอัญเชิญเขาให้ถูกวิธี ถ้าหากว่าไม่เชิญเขาให้ถูกวิธีเขาก็ไม่ให้ความคุ้มครองไม่ให้ความดูแล คราวนี้ว่าเขาเอง เขาก็อยากจะช่วย แต่คราวนี้เมื่อไม่ได้บอกกล่าวไม่ได้เชิญอย่างถูกวิธี เขาเองไม่สามารถจะช่วยได้ เขาก็เลยหาทางที่จะติดต่อ เพื่อจะให้บอกว่าให้ทำให้ถูกซะทีอย่างนั้น
       ถาม :  คนนี้เขาโดนญาติเขาเองเล่นของ เล่นของในลักษณะที่ของที่ส่งมานี่มันเป็นลักษณะเลือด แล้วก็มาปาที่บ้านเขา แล้วพอเราไปช่วยเอาน้ำมนต์หลวงพ่อไปเจ้าค่ะ พอเขาดื่มปุ๊บมีความรู้สึกว่าขันน้ำมนต์เป็นเลือด พอดื่มเข้าไปปุ๊บ ยังไม่ทันจะกลืนก็อาเจียนออกค่ะ ถ้าอย่างนี้นี่เราจะช่วยเขาได้อย่างไรเจ้าคะ ?
       ตอบ :  ได้อยู่ ให้เขาดื่มบ่อย ๆ เดี๋ยวมันก็หมด พวกนี้บางอย่างถ้ากินเข้าไปนี่ลำบาก ถ้าหากว่าไม่ได้กินเข้าไปนี่แก้ง่าย ถ้ากินเขาไปมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเลือดเนื้อร่างกายแล้วแก้ลำบาก ลักษณะนั้นก็คือลักษณะของว่าพุทธคุณกับของมันต้านกันอยู่ ในเมื่อของเขาเองไม่ได้ มันก็จะแสดงออกในลักษณะเหมือนว่าอาเจียนออกมา ให้มันกินไปเยอะ ๆ เลย จับอาบเสียด้วยยิ่งดี
       ถาม :    ไม่เป็นไรเหรอเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ไม่เป็นไรจ้ะ ซ้ำให้ตายไปเลย
       ถาม :    ที่กินออกมาไม่เหลือเลยค่ะ ?
       ตอบ :    ถ้าอาเจียนออกมาได้ก็เริ่มเบาแล้ว ต่อไปบอกเขาว่า เอาที่ต้มเสร็จมาแล้วนะ
       ถาม :    ต้มหรือคะ ?
       ตอบ :     เลือด (หัวเราะ) เอาที่ต้มเสร็จมาแล้วน่ะ
       ถาม :    แล้วเขาเลี้ยงผีด้วยเจ้าค่ะ ?
       ตอบ :  เลี้ยงผีไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่อยากบอกเดี๋ยวพวกเราไปทำกัน เพราะว่าพวกอดอยากมันเยอะ คราวนี้ของพวกนี้ถ้าเราเผลอมันจะเล่นเราเอง คือถ้าเวลาเราเผลอทิ้งให้เขาอด บางทีเขาก็เล่นเราเอง มีอยู่ช่วงหนึ่งอยู่ที่วัดท่าซุง มีแม่ชีคนหนึ่งเขามา โอ้โห ! พามาเป็นฝูงเลย เราเองก็ถามเขาว่าเลี้ยงผีใช่ไหม ? เขาบอกว่าท่านรู้หรือเจ้าคะ ก็บอกว่า รู้ไม่รู้น่ะ ไม่ต้องพูดถึง แต่ว่าโยมเลี้ยงใช่มั้ย ? เขาบอกใช่ ก็บอกว่าเลี้ยงยังไงมันถึงเยอะขนาดนั้น เขาก็เลยบอกวิธีให้วิธีมันก็ง่ายนะ แต่ว่าลักษณะนั้นเราเผลอเมื่อไหร่ตัวเองโดน
       ถาม :   เขาทำอย่างไงเหรอเจ้าคะ ?
       ตอบ :     ก็บอกแล้วว่าไม่กล้าบอก เดี๋ยวคนเอาไปใช้กัน
       ถาม :    แสดงว่ามันก็ต้องมีคุณด้วยซิครับ ?
       ตอบ :  มันก็มีอยู่ คือว่าบางอย่างของเขาเองอยู่ในลักษณะของความเป็นทิพย์ไงมันก็ถ้าหากว่าเป็น เรื่องที่ไม่เกินกำลังเขา เรื่องที่ไม่หนักนักเขาก็ช่วยได้ แต่ว่าเขาก็จะช่วยในลักษณะว่าบีบบังคับคนอื่นเขา
       ถาม :    นึกว่าช่วยง่าย ๆ เอามาเป็นคนงานก่อสร้างซะเลย ? (หัวเราะ)
       ตอบ :     เอาอย่างพวกวูดู หมอผีวูดูที่ไฮติ ใครตายนี่เจ้าของ...ต้องเรียกว่าญาติพี่น้องนะ ฝังศพแล้วต้องนั่งเฝ้าจนมันเน่าไปเลย ถ้าหากว่าไม่เฝ้าอยู่จนมันเน่า เขาเรียกเอาไปใช้หมด
       ถาม :    เขาไม่เผาไปเลยล่ะครับ ?
       ตอบ :     ก็ประเพณีเขาฝัง 
       ถาม :   เอาศพไปใช้เหรอครับ ?
       ตอบ :      เอาศพไปใช้ เอาไปเป็นคนงาน ส่วนใหญ่พวกที่ไฮติคนงานในไร่อ้อยนี่สมัยก่อนนี่ร้อยละเกินเก้าสิบจะเป็นพวกผีดิบวูดู
       ถาม :   เอาอย่างงั้นเลยเหรอครับ ?
       ตอบ :    มันเอาอย่างงั้นเลยแหละ มันต้อนไปเป็นฝูง ๆ เลย
       ถาม :   ไม่ต้องเสียค่าข้าว
       ตอบ :  เสียแต่ค่าอาหารหน่อยหนึ่ง ให้กินข้าวเปล่า อย่าให้กินเกลือ ถ้ากินเกลือเมื่อไหร่มันจะรู้ตัวว่ามันตายแล้วมันจะกลับหลุมมัน เพราะฉะนั้นต้องให้กินแต่ข้าวเปล่าเพื่อที่ร่างกายมันจะได้อยู่ได้ อย่างน้อยมีสารอาหารอยู่
       ถาม :    อย่างนี้เขาเรียกว่าผีดิบหรือเปล่าเจ้าคะ ?
       ตอบ :     อันนั้นเป็นผีดิบ เขาทำมาจากวิชาของเขา ไปปลุกมันขึ้นมาใหม่
       ถาม :   อย่างนี้ทรมานมั้ยคะ ?
       ตอบ :     จริง ๆ  มันก็ทรมาน แต่ว่าผีก็คือผี
       ถาม :   ดวงจิตถูกครอบไว้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :     ดวงจิตนี่อาจจะเป็นของคนอื่นก็ได้ อาจจะเป็นของตัวเองก็ได ้เพราะว่าเพียงแต่อาศัยเพื่อบังคับให้ร่างนั้นทำงานเท่านั้น
       ถาม :    นึกว่าถ้าไม่อาศัยดวงจิตได้ด้วยนี่ก็โอ้โห !
       ตอบ :     โอ้โห ! ยอดเยี่ยมสุริโยทัย ส่วนใหญ่มันต้องมีเค้าโครงของมัน
       ถาม :    ที่เขาสะกดจิต การใช้พลังจิตที่ไปช่วยบังคับจิตให้เขาทำตามถือว่าการทำในลักษณะอย่างไรเจ้าคะ ?
       ตอบ :  อันนั้นลักษณะจริง ๆ ก็เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขาเลย และถ้าหากว่ายิ่งให้เขาไปทำสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมตัวเองก็ได้รับโทษหนักขึ้น ไปด้วย แต่ตัวของคนทำนั้นไม่มีโทษนะ เพราะว่ามันไม่ใช่เจตนาของเขา และที่เขาทำ เขาทำในลักษณะไม่รู้ตัวโดนบังคับให้ทำ
       ถาม :    อยากทราบ อานิสงส์ของการพนมมือคุยกับพระครับ ?
       ตอบ :  อานิสงส์ของการพนมมือคุยกับพระ แต่ขัดสมาธินี่หักลบลบล้างเหลือศูนย์ (หัวเราะ) พนมมือเป็นการเคารพ แต่ขัดสมาธิมันไม่เคารพ หักกลบลบล้างเหลือศูนย์พอดี (หัวเราะ)
       ถาม :    คือว่าร่างกายมันไม่ไหวครับ ?
       ตอบ :  จริง ๆ ก็ดูว่าใจของเราเคารพมั้ยนะ ถ้าหากพนมมือด้วยความเคารพอานิสงส์มันก็ได้อยู่ ใช่มั้ย ? เราเคารพในพระรัตนตรัย เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาจัดเป็นอนุสสติ แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราสัก ๆ แต่พนมมือไปมันก็น้อยหน่อย คืออย่างน้อย ๆ มันก็อยู่ในลักษณะกตัตตากรรม คือกรรมที่ทำโดยไม่ได้ตั้งเจตนาให้มันมั่นคง
       ถาม :    ได้ยินมาว่า ถ้าเกิดคนที่ได้สรรเสริญบุคคลอื่น เกิดมาชาติหน้าหน้าจะตัวสูงจริงมั้ยครับ ?
       ตอบ :  พระพุทธเจ้ากล่าว ก็จริงตามนั้น ก็เห็นเขาบอกคนสูงต้องเกิดหน้าน้ำไม่ใช่เหรอ (หัวเราะ) เกิดข้างขึ้นใช่มั้ย ? ยิ่งฤดูน้ำหลากยิ่งสูง นั่นเขาพูดเล่นกัน ท่านว่าจะเกิดในตระกูลสูงต่างหาก
       ถาม :    ผมคิดถึงลูกสาวเลย นั่นต้องสูงมากแน่เลย ฝนแบบไม่รู้มีมาก่อน ตกสุดจะหนัก
       ตอบ :  อันนั้นเขาพูดเล่นกัน พระพุทธเจ้าท่านบอกอย่างไงก็อย่างงั้นล่ะจ้ะ ที่่ว่าทำไมคนถึงเกิดในตระกูลสูง ทำไมเกิดในตระกูลต่ำ ทำไมผิวพรรณดี ทำไมผิวพรรณทราม อะไรนั่น เป็นไปตามท่านว่าทั้งหมด ถ้าขี้โกรธก็ผิวพรรณทราม ถ้าหากว่ามีเมตตาจิตใจเยือกเย็นก็ผิวพรรณดี อย่างนี้ เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนก็เกิดในตระกูลสูง เป็นผู้ลบหลู่เขา เป็นผู้ที่ประเภทที่เรียกว่าทะเยอทะยาน ก็จะเกิดในตระกูลต่ำอย่างนี้
       ถาม :    หนูใจร้อน ทำอย่างไงใจเราถึงจะเย็น ?
       ตอบ :     ควักออกมาแช่น้ำ
       ถาม :    โห ! มันควักไม่ได้เจ้าค่ะ ?
       ตอบ :     รู้ตัวว่าใจร้อนต้องสร้างสติให้สมบูรณ์จ้ะ เมื่อสร้างสติสมบูรณ์มันรู้จักระมัดระวัง พอสติสมบูรณ์แล้วมันจะระวัง มันก็จะเป็นแค่ร้อนอยู่ข้างใน กาย วาจา มันไม่ได้ร้อนไปด้วย เพราะว่าเก็บอาการอยู่ แล้วพอนาน ๆ ไป เราเก็บมันอยู่นาน ๆ มันเหมือนอยา่งกับเอาหินทับหญ้า เดี๋ยวหญ้ามันตายไปใจมันก็เย็นเอง
       ถาม :    พอจะมีคาถาเรียกเงิน เรียกทองแล้วก็โชคลาภบ้างมั้ยเจ้าคะ ?
       ตอบ :     มีจ้ะ เขาเรียกคาถาเงินล้านรู้จักมั้ยจ๊ะ ? ถ้าไม่รู้จักถามคุณเทพฤทธิ์ นั่นแหละใช้ได้ เขามีจริง ๆ จ้ะ เขาเรียกคาถาเงินล้าน เอาคาถาบทนั้นแหละไปใช้ อย่างของเราสมาธิดี ๆ นี่ได้ผลเร็วจ้ะ
       ถาม :   จำเป็นต้องเท่า  กันทุกวันเหรอครับ ?
       ตอบ :     ความสม่ำเสมอ สำคัญที่สุด
       ถาม :    ผมอาศัยแบบขับรถไป นึกได้ก็ท่อง ๆ ไปเรื่อย ๆ 
       ตอบ :     คืออย่างน้อย ๆ ให้มันกำหนดไว้ว่าแค่นี้เราต้องได้ ส่วนได้มากกว่านี้ ได้เท่าไหร่ก็เอา
       ถาม :    อย่างนี้ต้องนึกน้อย ๆ ไว้ก่อน (หัวเราะ)
       ตอบ :    มันจะได้มีรองรับไว้เสมอ คือแน่นอนว่าจำนวนนี้ต้องได้อย่างนี้
       ถาม :  พอดีคุณพ่อท่านเป็นอาจารย์ฝึกสมาธิ คนรู้สึกว่าจะเป็นพันนะคะ แล้วทีนี้พอท่านฝึกสมาธิ ท่านก็นั่งสมาธิประมาณตอนตีสี่ ตีห้าท่านก็บอกว่าเจอแหละมีเทวดามานั่งสมาธิด้วยทุกเช้าเลย ก็เลยสงสัยว่า เอ๊ะ ! พวกเทวดานี่เขามานั่งสมาธิกับคุณพ่อนี่ เขาได้บุญกุศลจากการทำสมาธิตรงนี้ด้วยหรือคะ ?
       ตอบ :     ได้จ้ะ ได้ เพราะว่าอย่างเทวดาชั้นยามา เขาจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิเป็นปกติเลยนะ ท่านที่มานี่อาจจะเป็นเทวดาประจำตัวที่รักษาท่านเอง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนฝูงเก่าก็ได้ เห็นเพื่อนทำขอแจมหน่อยหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ขอได้บุญบ้าง
       ถาม :    สมาธิคือ มีสติใช่มั้ยครับ ไม่ใช่การจับลมหายใจ
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วมันต้องอาศัยลมหายใจก่อน เพื่อที่่ว่าสติมันตามทันลมหายใจที่เป็นของหยาบก่อน แล้วมันถึงจะตามทันความคิดของตัวเองที่เป็นของละเอียดกว่า
       ถาม :   แต่เทวดาไม่มีขันธ์ห้านี่ครับ ?
       ตอบ :     ก็เขามีขันธ์ทิพย์จ้ะ ขันธ์ของเขาก็ห้าเหมือนกับเรานี่แหละ เพียงแต่ว่ามันอยู่ในสภาพของความเป็นทิพย์
       ถาม :   แล้วจับลมหายใจได้เหมือนเราเลยหรือครับ ?
       ตอบ :  ของเขาเองเขาไม่ได้ว่าจับแบบของเรานี่ ของเขาจิตเขาถ้าหากว่าทรงเป็นสมาธิอยู่เขาจะดำเนินตามอาการของสมาธิไปเลย สิ่งนี้มันเป็นความละเอียด พูดกันยาก ต้องไปเกิดเป็นเทวดาใหม่แล้วทวนความจำดู (หัวเราะ) สภาพจิตของเขาพอทรงตัวเป็นสมาธิอยู่มันก็จะดิ่งต่อไปในลักษณะที่เขาเพิ่มความระมัดระวัง ประคับประคองมันอยู่ อธิบายเป็นคำพูดยากจัง
       ถาม :   เข้าใจครับ 
       ถาม :     ทีนี้ท่านก็บอกว่าท่านทำสมาธิตรงนู้นแล้วเราก็นอนอยู่ปลายเท้าท่าน เราก็เลยรับขอรับส่วนของท่านเลย (หัวเราะ)
       ตอบ :     ง่ายดีเนอะ เขาเรียกตัวดูด (หัวเราะ) อ้าว ! ได้นะ ถ้าหากว่ากำลังใจของเราดี ๆ รับได้จริง ๆ จ้ะ
       ถาม :    เราก็รู้สึกว่าพอใกล้ท่านจิตเราก็เป็นสมาธิเจ้าค่ะ ก็เลยสงสัยว่ามันถ่ายเทกันได้หรือเจ้าคะ ?
       ตอบ :     จริง ๆ แล้วกำลังใจของคนนะ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามมันจะส่งพลังงานออกมา ในเมื่อมันส่งพลังงานออกมาคนที่อยู่ใกล้จะได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ว่า่จะกระทบในด้านดี หรือกระทบในด้านร้ายก็ตาม จะสังเกตว่าถ้าในสถานที่เขาทำเป็นบุญเป็นกุศลสมาธิ เราจะทรงตัวได้ง่ายมาก เพราะว่ากระแสจิตมันจะไปทางดีเหมือนกันหมด
              แต่ขณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าเราเข้าไปในสถานที่อย่างเมืองใหญ่ ๆ หรือว่าสถานที่ที่มันแออัด จอแจ มีแต่รัก โลภ โกรธ หลง นี่เราจะรู้สึกว่าโดนกดดันและเครียดมากเลย เพราะว่าของเขามันสวนกระแสกับเราจ้ะ ก็ในเมื่อของเราเองมันมีผลอย่างนั้นก็ดูดไว้เยอะ ๆ (หัวเราะ)

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 19 เมษายน 2009, 02:08:19 »

http://grathonbook.net/book/15.6.html

ถาม :  พอดีดูดแล้วถ่ายได้ด้วยเจ้าค่ะ มีพี่อยู่คนหนึ่งเขาจะเดินทางไปกับเรา พอเราเจออะไรก็นึกอยู่ในใจ เธอจะพูดแทนเลย ไม่ทราบว่าทำไมส่งสัญญาณได้อย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ?
       ตอบ :      โทรศัพท์เบอร์เดียวกันจ้ะ ถ้าต่อผิดคลื่นก็ไม่ติด
       ถาม :    อันนี้ก็สงสัยว่าทำไมพี่เขารักได้ พอเราจะพูดอะไรเธอก็พูด ?
       ตอบ :      ไม่ต้องสงสัยจ้ะ ทีเรายังรับได้เลย
       ถาม :  แล้วมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งน่ะคะ เขาก็มานั่งใกล้ ๆ เรา พอนั่งไปนั่งมา เธอจะเห็นภาพล่วงหน้าเหมืือนกับที่เราเห็น ทำไมไม่ทราบไปถ่ายทอดกันอีท่าไหนเจ้าคะ ?
       ตอบ :      ก็บางทีของเขาเองกำลังใจเขาก็เหมือนกัน แล้วก็อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ก็สามารถเห็นได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจจะเป็นตัวเจโตปริยญาณก็ได้ เรานึก เรารู้ เราเห็นอะไร เขาเองเขาอ่านใจเรากำหนดความรู้สึกของเรา เขาก็นึกได้เห็นได้ รู้ได้เหมือนกัน
       ถาม :     อย่างนี้ก็สื่อกันได้ใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :      ได้จ้ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อย่างไง ๆ ก็หมุนโทรศัพท์หน่อยนะ ไม่งั้นนายกจะเจ๊งซะก่อน ไม่มีใครใช้เลย
       ถาม :    แล้วมีคาถาอะไรที่จะแนะนำมั้ยคะ ?
       ตอบ :      จะแนะนำเยอะเลย เจ็ดตำนานทั้งเล่มน่ะ ท่องไปเหอะ ใช้ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ
       ถาม :    เอาสั้น ๆ กระทัดรัดน่ะเจ้าค่ะ เอาแบบครอบจักรวาล ?
       ตอบ :      พุทโธจ้ะ คาถาทุกบทเป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ แล้วพอจิตเป็นสมาธิ กำลังของมันมี เราตั้งใจให้เป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาธิระดับของเราแล้วอะไรก็ได้จ้ะ
               แบบเดียวกับสมัยเด็ก ๆ หลวงพ่อสมชายวัดเขาสุกิมไป วัดใช่มั้ย ? แล้วโยมพ่อก็มัวแต่ไปคุยกับเจ้าอาวาสอยู่ ทิ้งลูกให้อยู่ที่ศาลาคนเดียว มันก็มืดลงทุกที ๆ ท่านก็กลัวหลับหูหลับตานั่งกอดเข่า กลัวแล้วไม่เอาแล้ว ๆ ถอดจิตไปได้เฉยเลย ลักษณะเดียวกันแหละจ้ะ คือพอกำลังใจมันมั่นใจเป็นหนึ่งเดียวแล้วมันก็ใช้งานได้เลย
       ถาม :    ยาว ๆ อย่างอิติปิโส ?
       ตอบ :      เอาเหอะ ยิ่งยาวยิ่งดี ชินบัณชรก็ได้ ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกก็ดี หรือไม่ก็มหาสติปัฏฐานสูตร (หัวเราะ)
       ถาม :  อ่านเจอใน ........(ไม่ชัด)..........หลวงพ่อท่านพูดถึงเรื่องของการก่อสร้างสถาน ปฏิบัติธรรม ว่าต้องมีมุมให้ถูกต้อง มุมมหาทุกขตะ มุม........(ไม่ชัด).........มุมมหาเศรษฐี ขอถามเป็นอย่างไงครับ ?
       ตอบ :      พอรู้อยู่ ก็เอาโบสถ์เป็นหลักตามตำราของ หลวงพ่อ แล้วโบสถ์ต้องหันหน้าทิศตะวันออก จะมีแต่ละทิศอย่างเช่นว่า ทิศด้านตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของพระโมคคัลลาน์ ตะวันออกเฉียงใต้เป็นมุมของพระสารีบุตร แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของมหาเศรษฐี ตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นมุมมหาทุกขตะ
              ก็จำแค่ ๓ ทิศน่ะ ถ้าหากว่าหันเหนือปุ๊บ หน้าตรงก็คือตะวันออก มุมทะแยงคือตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือนะใช้ได้ มุมเหลือนอกนั้นใช้ไม่ได้เท่านั้น เพราะว่าจะเป็นมุมโจร มุมมหาทุกขตะ มุมกาลกิณี มุมมรณะ มุมปาราชิก
       ถาม :   คือว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ต้องสร้าง หรือว่าเป็นบ้านก็ได้ ?
       ตอบ :      จำเพาะวัด แล้วก็ที่มีผลก็คือมีผลต่อตัวเจ้าอาวาสไม่ได้มีผลต่อพระลูกวัด มีผลต่อเจ้าอาวาส อย่างเช่นว่าถ้าอยู่มุมมหาทุกขตะจนตายชักเลย เงินทองไม่เข้าวัด และขณะดียวกันถ้าหากอยู่มุมปาราชิกก็มีสิทธิเจ๊งได้เลย อยู่มุมมรณะก็ตายเร็ว อยู่มุมโจรนี่โจรเข้าวัดแน่นอน
       ถาม :    อย่างนี้ถ้าจะสร้างสถานปฏิบัติธรรมก็ต้อง .....?
       ตอบ :  ก็กำหนดเอาเลยว่า เราคิดจะสร้างโบสถ์ตรงจุดไหน แล้วตัวคนเป็นเจ้าอาวาสก็เตรียมกุฏิเอาไว้ด้านที่ดี ๆ เอาไว้ อย่างถ้าตำราหลวงพ่อส่วนใหญ่ท่านนิยมมุมมหาเศรษฐี
       ถาม :   ตะวันตกเฉียงเหนือ
       ตอบ :      ก็จะเป็นตะวันตกเฉียงเหนือ
       ถาม :    อย่างนี้ถ้าจะไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในบ้านต้องสนใจหน่อยมั้ยครับ ?
       ตอบ :      ก็สนใจในเรื่องของการตั้งหิ้งบูชาพระให้หันเหนือหรือว่าตะวันออก ถ้าหากว่าหันทิศอื่นก็หมดเร็ว
       ถาม :    ด้านหน้าโบสถ์นี่คือพระประธานหันหน้าไปทางตะวันออกนั่นคือหน้าโบสถ์ ?
       ตอบ :  ด้านหน้าโบสถ์เลยจ้า ด้านหน้าโบสถ์นั่นมุมโจร หลังโบสถ์เป็นปาราชิก คือว่าตะวันออกเป็นโจร ตะวันตกเป็นปาราชิก ถ้าหากว่าใต้เป็นกาลกิณี เหนือเป็นมรณะ ที่เหลือบอกไปแล้ว
       ถาม :    พระโมคคัลลาน์ แปลว่าไงครับ ?
       ตอบ :      ถ้าหากว่าอยู่ก็ฝึกฤทธิ์ ฝึกอภิญญาได้ง่ายมุมพระสารีบุตรก็เข้าถึงธรรมได้ง่ายอย่างนี้
       ถาม :   แล้วถ้าอยากได้ทั้งสองอย่าง สร้างตรงไหนดี ?
       ตอบ :      ก็สลับกันอยู่ (หัวเราะ) อยู่ตรงนี้ ๓ เดือน แล้วย้ายไปอยู่นู้น ๓ เดือน
       ถาม :     วัดจากกึ่งกลางที่ดินหรือวัดจากกึ่งกลางโบสถ์ครับ ?
       ตอบ :    เอาโบสถ์เป็นหลัก ให้อยู่ทิศนั้น ๙๐ องศา ทิศนั้น ถ้าอยู่ในเขต ๙๐ องศานั้นก็ใช้ได้เลย
       ถาม :   แต่ต้องเป็นเจ้าอาวาส ?
       ตอบ :     ตัวเจ้าอาวาสจ้ะ สำคัญ นี่เขาไม่รู้ตำราแล้วก็อยู่ผิดอยู่อะไรนี่ อย่างของอาตมาตอนนี้ถ้าย้ายไปอยู่ท่าขนุน มันก็จะเป็นมุมมหาทุกขตะ แต่ว่าบังเอิญว่าเราไม่ใช่เจ้าอาวาส
       ถาม :  คือว่าตอนนี้กำลังศึกษาพลังจักระอยู่น่ะค่ะ แล้วทดสอบแล้วว่ามันสามารถได้ผลจริง คือ มีพี่คนหนึ่งเขาปวดท้องมากแล้วไม่รู้จะทำยังไง ทำยังไงก็ไม่หาย ก็เลยเอาหินไปวางที่ท้อง พอวางแล้วหินมันแผ่พลังยังไงไม่ทราบค่ะพี่เขาหายปวด แล้วเอาพลังของหินที่มันผลิตรังสีบางอย่างเพื่อปรับสภาพรักษาโรคก็มีคนรักษา หายหลายรายแล้ว ทีนี้สงสัยว่าหินนี่ทำไมมันมีพลังช่วยปรับสภาพได้ ?
       ตอบ :      วัตถุธาตุทุกอย่างเขามีพลังงานของเขาอยู่โดย เฉพาะพวกหินก็คือ ธาตุดินแน่นอนอยู่แล้วใช้ได้ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ส่วนใหญ่มันเกิดจากธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง เพราะฉะนั้นะถ้าหากว่ามีธาตุนั้นเสริมเข้าไปก็จะหายจากอาการป่วยอันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักษาได้ทุกคน
              โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา คือเนื้อบางชนิดต้องใช้ยาบางอย่าง ไม่ใช่ว่าป่วยแบบเดียวกันรักษาแบบเดียวกัน แล้วอีกอย่างก็คือว่าการรักษาคนป่วย โรคบางอย่างต้องรักษาถึงหายถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเจอประเภทรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย ขนหินลงไปสักคันรถหนึ่งจะได้กลบไปเลย (หัวเราะ)
       ถาม :    แสดงว่าพลังของหินมีจริงใช่มั้ยคะ ?
       ตอบ :      มีจริง ๆ วัตถุทุกอย่างมีพลังอยู่แล้ว อย่าลืมตำราวิทยาศาสตร์ไอสไตน์เขาบอกว่าแกนกลางของวัตถุทุกอย่างเป็นพลังงาน พวกวิทยาศาสตร์เขาก็ตามทันในจุดนี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็เชื่อเขาไว้หน่อยหนึ่ง
               คาถาขอลาภมันเป็นคำแปลก ๆ หน่อยนะฟังทันมั้ย ? จดก็ได้นะ คาถาขอลาภเขาว่าอย่างนี้ ให้กลั้นใจท่องคาถาในใจว่า ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ กลั้นใจว่า ๙ จบ คาถานี้เป็นของหลวงพ่อซ่วน เขาใช้แล้วได้ผลอัศจรรย์ดีก็เห็นคนเอาไปใช้กันหลายคน ส่วนคาถาป้องกันภัยหรือว่าคาถาขับมารของหลวงปู่ชุ่มนั้น ท่านให้ว่าคาถาพร้อมทั้งโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศเพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือว่าเวลาจะเจิรญกรรมฐานท่านให้ว่าคาถานี้แล้วโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศ ท่านบอกว่าป้องกันมารเข้ามาแทรกทำให้เราไขว้เขว เสียผลในการปฏิบัติ
               เพราะฉะนั้นถ้าใครใช้คาถาก็มีผลป้องกันอันตรายและก็ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้ามาก่อกวนเราด้วย คาถาว่า ตะรังเมยาจามิ  ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่งจนครบ ๔ ทิศ คำว่าทิศไม่จำเป็นต้องเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ให้ใช้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ของเราเอง 
       ถาม :   มีคนเสนอให้ยกเลิกการประหารชีวิตของนักโทษโดยให้เหตุผลว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ?
       ตอบ :  มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ? จริง ๆ มันต้องประหารให้หนักกว่าเดิม สังเกตุมั้ยสมัยโบราณเวลาประหารชีวิต อย่างเช่นว่า ตัดหัวนักโทษ เขาจะไปแห่ประจานก่อนแล้วก็ไปประหารในที่สาธารณะให้คนจำนวนมากเห็น เพื่อที่มันจะได้เกรงกลัว ทีนี้คนเราจิตสำนึกมันไม่มีความเกรงกลัว ไม่ละอายชั่ว กลัวบาป มันก็จะทำชั่วมากขึ้นไปเรื่อยแบบเดียวกับนักโทษค้ายาบ้า เขาบอกว่าสองพันเม็ดขึ้นไปโทษประหาร แล้วมันไม่ประหารซะทีมันก็ค้าหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะหลังจับได้เป็นล้าน ๆ เม็ดเลย พอโดนประหารไป ๔-๕ รายมันก็จะซาไปแต่พอโดนโทษประหารไปที ๑๕ ราย ๑๗ รายมันก็ชักจะเงียบไป
               เพราะฉะนั้นโทษเหล่านี้ความจริงม้ันจำเป็นต้องมีอยู่ การ จัดระเบียบของสังคมบางทีผู้นำก็จเป็นต้องเสียสละ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้นำท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อความสุขของส่วนรวมตัวท่านเองจะตกนรกท่านก็ยอม เพราะฉะนั้นถามว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธสมควรจะยกเลิกโทษประหารชีวิตมั้ย ? คนอื่นว่าอย่างไรไม่รู้ อาตมาทั้ง ๆ ที่เป็นพระเห็นว่าไม่สมควรยกเลิก แล้วมันต้องประหารให้หนักขึ้นด้วย โทษยาเสพติด โทษข่มขืนแล้วฆ่าอะไรพวกนี้ว่ามันให้หนัก ๆ ไปเลย มันเข็ดไปเอง
              สมัยจอมพลสฤษดิ์ ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เห็นมั้ย....จับได้ตรงไหนยิงทิ้งตรงนั้นไม่กี่รายเ่ท่านั้น กระทั่งไฟยังไม่กล้าไหม้ไม่กล้าช็อต ไฟยังกลัวเลย ไม่งั้นเดี๋ยวตรงนั้นก็ไฟช็อตตรงนี้ก็ไฟช็อต
       ถาม :    การค้ายาบ้าหรือการเสพมีโทษและอานิสงส์อย่างไร เมื่อตกนรกแล้วต้องรับกรรมอย่างไรแล้ว เกิดมาชาติหน้าจะมีลักษณะอย่างไร ? 
       ตอบ :  เอาทีละประเด็นนะ อานิสงส์หายากหน่อย ถ้ามันพอดีมันเป็นตัวกระตุ้น แต่ว่าการกระตุ้นในร่างกายมันจะทำงานเกินปกติ พอหมดฤทธิ์ยามันจะประเภทนอนแผ่ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้
              สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลามีงานของหลวงพ่อ พระบางองค์ท่านก็จะเล่นกาแฟ บางองค์ก็กระทิงแดงผสมกาแฟ ถ้าพวกอยู่เวรยามฆราวาสบางคนถ้าไม่ไหวจริง ๆ มันก็เรียกหายาม้าเลย สมัยนั้นยาบ้ามันไม่มีมันมีแต่ยาม้า ปรากฏว่าพอเลิกงานของเราเองไม่ได้กินอย่างเขาอาศัยกำลังตัวเองเฉย ๆ พอนอนพักคืนหนึ่งรุ่งขึ้นเราออกบิณฑบาตได้ แต่ว่าคนอื่นแผ่หราหมด
              เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่ามีอานิสงส์ยังไงก็คือ ว่ามันช่วยให้มีกำลังงานขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นและการมีกำลังของมัน นั้นมันไปกระตุ้นเอากำลังงานสำรองออกมาหมด ในเมื่อกระตุ้นออกมาหมดถึงเวลากำลังสำรองไม่มีเหลือเลยอย่างนี้มันก็จะทำให้ ร่างกายแย่ ส่วนโทษมันมีสารพันอย่างที่เราเห็น เกิดคลุ้มคลั่งประสาทหลอนบ้างจับโน่นจับนี่เป็นตัวประกันให้ยุ่งไปหมด หรือไม่ก็เสพเข้าไปแล้วเกิดคึกขึ้นมาเที่ยวข่มขืนเที่ยวฆ่าเขาโทษมันก็จะมี คราวนี้ว่าตัวโทษตรงนี้จริง ๆ แล้วในศีล ๕ ก็มีบัญญัติไว้พระพุทธเจ้าว่า สุราเมรยะมัชชะปมา สุราก็คือน้ำเมาที่เกิดจากการกลั่น เมรัยน้ำเมาที่เกิดจากการหมักดอง มัชชะของมึนเมาทั้งปวงทำให้ขาดสติ
              เพราะฉะนั้น พวกยาเสพติดต่าง ๆ มันน่าจะอยู่ในประเภทมัชชะคือของมึนเมาทำให้ขาดสติ ตายแล้วจะตกนรกยังไงล่ะ ก็คงไปขุมพวกยมโลกีย์นรก เพราะยมโลกีย์นรกนี่เขาก็จะแยกละเอียดว่าจะลงโทษเกี่ยวกับอะไร   ๆ พวกนี้มันลักษณะของมันใช้เสพอะไรก็คงเจอตามโพทกนรก เอาน้ำทองแดงกรอกปากอยากมากใช่มั้ยใสลงไปเลย (หัวเราะ) ตามโพทกนรก-นรากน้ำทองแดง ตามพะ-ทองแดง
       ถาม :    ......................
       ตอบ :      มันสงเคราะห์เข้ากับของเก่าได้ พระพุทธเจ้าท่านอ้างเอาไว้ในมหาปเทส ๔ สิ่งที่ไม่สมควรสงเคราะห์แล้วเข้ากับสิ่งไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร ท่านจะมีข้ออ้างใหญ่ให้อ้างอยู่ได้ ๔ ข้อ สิ่งที่เห็นว่าไม่สมควรแต่สงเคราะห์แล้วเข้าสิ่งที่สมควร สิ่งนั้นก็สมควรทั้ง ๆ ที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นว่าไม่ควรแต่ว่ามันเหมาะมันสมมัุนใช้ได้อย่างนี้ สิ่งนั้นก็สมควร 
       ถาม :    ถ้าเราได้ไปนิพพานในชาตินี้ ก่อนตายเราจะอธิษฐานให้กระดูกของเราเป็นไปได้ตามที่เราต้องการ ?
       ตอบ :     ได้ คือการที่กระดูกเป็นพระธาตุมันเกิดอยู่ ได้ ๒ สถานด้วยกัน สถานแรกคือ เจ้าของกระดูกอธิษฐานไว้เองให้เป็น สถานที่ ๒ เพื่อกำลังใจของคนหมู่มากลูกศิษย์ลูกหานับถือ พระท่านจะทำให้เป็น ถ้าพ้นจาก ๒ สถานนี้ไปแล้วยังไม่พบว่ามีใครที่ทำให้เป็นได้ หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพ ไปแล้ว ๓๐ กว่าปีแล้วกระดูกถึงเป็นพระธาตุเพราะลูกศิษย์ลูกหาเคารพท่านมาก พระท่านก็เลยสงเคราะห์ให้เป็นไม่งั้นเดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อว่าอาจารย์เขาดี จริง
       ถาม :  การทำกรรมฐานแบบพิจารณา เช่น การเดินจงกรม การกินข้าวในทุกอิริยาบทแบบช้า ๆ สโลโมชั่น แบบนั้นตรงตามความต้องการตามคำสอนแบบพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
       ตอบ :     กล่าวว่าตรงก็ได้แต่ไม่หมด เพราะว่าคนที่แรกฝึกหัดกำลังใจยังไม่ละเอียด ถ้าหากว่าทำอะไรเร็ว ๆ อย่างเช่นว่า เดินเร็ว กินเร็ว บางทีจะพิจารณาไม่ทัน เขาจึงต้องเริ่มจากช้าไปก่อน แต่พอมีความคล่องตัวแล้วก็ทำได้ดีขึ้นเร็วขึ้น
               อย่างหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงท่านบอกว่า ครูบาอาจารย์บอกว่าสอนผมว่าให้ผมฉันช้า ๆ ค่อย ๆ พิจารณาไป แต่พอไปร่วมวงฉันกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ฉันเร็วมาก เสร็จแล้วท่านก็เลยนึกตำหนิท่านอาจารย์ในใจ ปรากฏว่าท่านอาจารย์หยุดฉัน หันมามองหน้าท่านแล้วบอกว่า คนที่ขับรถเร็วแล้วปลอดภัยน่ะมีอยู่ แต่ของท่านเพิ่งหัดขับเพราะฉะนั้นท่านต้องไปช้า ๆ ก่อน (หัวเราะ)
               ดังนั้นว่าที่ถ้าถามว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ามั้ย ? ระยะแรกที่ยังไม่คล่องตัวก็ถือว่าตรงแต่มันยังตรงไม่หมด พอถึงเวลาคล่องตัวแล้ว เราอยู่อริยาบทไหนมันมีสติรู้อยู่พิจารณาได้ถ้าอย่างนั้นก็เร็วเท่าไหร่ก็ ได้
       ถาม :    อย่างนี้ถ้าใครทำอย่างนี้อย่าเพิ่งไปตำหนิเขา ?
       ตอบ :    อย่าเพิ่งไปติเขา เรารู้สึกว่ามันช้าเกินไปไม่เหมาะใจเรา ๆ ก็หลีกไปซะ
       ถาม :  ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าตากสินได้ไปฝึกทำกรรมฐานจนเ้พ้อว่าตัวเองเหาะได้ เป็นบ้าแล้วได้ถูกประหารในที่สุดจริง ๆ แล้วทำกรรมฐานเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ท่านเป็นบ้าจริงหรือไม่ ?
       ตอบ :     อันนี้แยกเป็น ๒ ประเด็น ทำกรรมฐานแล้วเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ถ้าทำถูกไม่เป็นแน่นอน ถ้าทำผิดนั่นเป็น ที่ผิดคือทำหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมพักไม่ยอมผ่อนร่างกายมันทนไม่ไหว ประสาทมันเครียดก็เลยออกอาการวิปลาสไป อันนี้ส่วนใหญ่มันจะเป็นคนที่ทำถึงระดับปีติ พอปีติมันเกิดนี่ ทีนี้มันไม่รู้จักอิ่งไม่รู้จักเหนื่อยในการปฏิบัติ ขาดสติไม่รู้จักพักผ่อน พอร่างกายทนไม่ไหวก็พัง
              เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่าถ้าใครทำกรรมฐานแล้วบ้ามาให้ข้า รักษาข้าไล่ส่ง เพราะว่าข้าสอนใครไม่เคยบอกให้ใครบ้า เพราะฉะนั้นมันไปทำแล้วบ้าแปลว่ามันไปทำผิดที่ข้าสอน ส่วนพระเจ้าตากสินบ้าจริงหรือไม่ ? บ้าจริงตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่ว่าบ้าปลอมในความเป็นจริง เพราะว่าท่านเองท่านตัองการจะผลัดแผ่นดิน ถ้าไม่มีข้ออ้างแล้วรัชกาลที่ ๑ ไปผลัดแผ่นดินคน คนจะไม่ยอมรับนับถือ ท่านก็เลยต้องเสียสละตัวท่านเอง
       ถาม :  ทำไมบางคนนอนถึง ๑๐ ถึง ๑๒ ชั่วโมงยังไม่รู้สึกอิ่ม บางคนรู้สึกว่านอน ๓-๔ ชั่วโมงเพียงพอแล้ว แพทย์บอกว่านอนวันละ ๘-๑๐ ชั่วโมง จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร ?
       ตอบ :     พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ตัวนี้โยมเข้ามาถึงมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าได้ ตัว พอดีมันไม่ใช่ขีดเส้นเป๊ะ ๕๐% มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้รับได้ฝึกมา พระที่ได้รับการฝึกอบรมทางจิตมาดีนอนพักสัก ๒-๓ ชั่วโมงเท่ากับคนทั่ว ๆ ไป พัก ๘-๑๐ ชั่วโมงเพราะว่ากำลังใจท่านละเอียดถึงเวลาแล้วร่างกายมันได้พักผ่อนจริง ๆ ถ้ายิ่งท่านเข้าฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าอวัยวะภายในท่านได้พักไปด้วย พวกที่ทำงานอัตโนมัติอย่างพวกกระเพาะ พวกปอด พวกหัวใจได้พักไปด้วย
              เพราะฉะนั้นพักน้อยก็เหมือนกับได้พักเยอะ ถามว่าอันไหนถึงจะพอเหมาะพอควร มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้ฝึกมาจะมากจะน้อยต่างกันอย่าง ไร แต่ว่าถึงเป็นพระปฏิบัติมาก็ตามถ้าว่าขาดการพิจารณา อย่างเช่นว่า ฉันอาหารโดยไม่บันยะบันยังหรือว่าฉันอาหารที่ก่อให้เกิดโทษ ทำให้มันมึนง่วงซึมอะไรอย่างนี้ บางทีก็ว่ายาวเป็น ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน
               ฉะนั้นอยู่ที่วัดจะเตือนท่านบ่อยเรื่องนี้บอกพวกคุณพิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญา คุณพิจารณาจนช่ำชองแล้ว คุณเชื่อมั่นแน่นอนแล้วว่าอาหารทุกอย่างสกปรก หลังจากนี้ไปคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาแล้ว เพราะว่าคุณรู้จนขึ้นใจช่ำใจแล้ว ก็พิจารณาแค่ว่าอาหารที่คุณจะฉันเข้าไปอันไหนมันจะเกิดโทษกับตัวคุณ อย่างเช่น มันเย็นเกินไปจนทำให้คุณเป็นไข้หรือเปล่า ? หรือว่าร้อนเกินไปมันจะทำให้คุณเสียงแหบแห้งจนสวดมนต์ไม่ได้หรือเปล่า ? หรือว่าฉันเข้าไปมันจะทำให้คุณเกิดกำหนัดหรือเปล่า ? คุณพิจารณาตรงนี้แล้วอันไหนเป็นโทษกับเรา ๆ ก็งดเว้นตรงนี้ซะ
       ถาม :    ปราสาทนครวัดนครธมและปิระมิด คนสร้างได้จริงหรือไม่ เพราะมีขนาดใหญ่โตมากหรือใช้ฤทธิ์อย่างอื่นสร้างครับ ?
       ตอบ :  ก็มันมีหลายอย่างรวมกันนะ ถ้าหากถามว่าคนสร้างจริงได้หรือไม่ ? ได้จริง ๆ ถามว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า ? มันเป็นฤทธิ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ฐานาฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะสูง บรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์ หรือว่าพระเจ้าจักรพรรดิราชท่านบัญชาลงไป เป็นตายยังไงคนมันก็ต้องทำให้ได้
               ส่วนลักษณะที่ว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า....บางทีก็บอกว่าใช้ฤทธิ์ เขาเรียกว่า วิชชามัยฤทธิ์ อย่างพวกเครื่องกล เครื่องผ่อนแรง พวกรอก พวกคาน คานดีด คานงัด อย่างนี้มันก็ใช่อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกนี้มันมีหลายอย่่างอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งถึงอันสุดท้ายใช้พลังจิต อย่างพวกวาโยกสิณ ของหนักอธิษฐานให้เบา ลักษณะนั้นก็ทำได้

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 20 เมษายน 2009, 00:36:47 »

http://grathonbook.net/book/15.7.html

ถาม :   การบรรลุธรรมนั้นจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องบรรลุธรรมในวัดหรือในป่า บรรลุธรรมในบ้านได้หรือไม่ ?
       ตอบ :   สถานที่ไหนก็ได้ถ้ามันเหมาะมันสม อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ว่าสถานที่สัปปายะ คือสถานที่มันเหมาะ หมายถึงอยู่ในที่สงัดไม่เกลื่อนกล่นไปด้วยผู้คน อาหารสัปปายะ หมายความว่า อาหารมันเหมาะกับธาตุขันธ์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าคนแพ้ข้าวเหนียวแล้วไปอยู่ภาคอีสานอย่างนี้มันก็แย่ อากาศสัปปายะ ก็คือว่าไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปเป็นที่พอดีสบาย 
               สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันมีส่วนมากสำหรับผู้ฝึกในระยะ แรกเริ่ม แต่ว่าผู้ที่กำลังใจทรงตัวแล้วสถานที่ไหนก็เหมาะสำหรับท่าน ตรงจุดไหนก็ตามก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ เพียงแต่ว่าความพยายามในการใช้มันมากน้อยต่างกัน ถ้าในสถานที่ ๆ เคยมีพระที่บรรลุมรรคผลอยู่ก่อนแล้วพลังงานของท่านจะหลงเหลืออยู่ พอเราไปตรงจุดนั้นพลังงานของท่านจะหนุนเสริม ทำให้กำลังใจของเรามันเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ว่าถ้าไม่มีที่ในสถานที่นั้นต้องตะเกียกตะกายเอง เหมือนกับว่าสถานที่หนึ่งมีหนทางให้เราอาศัยขึ้นภูเขาได้ ได้รับการหักล้างถางพอมาดีแล้วมันก็จะสะดวกสำหรับเรา
              แต่ถ้าหากว่าเราต้องไปบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาปีนห้วยเองมันก็ลำบากหน่อยแต่มัน ถึงเหมือนกัน ถ้าถามว่าสถานที่ไหนเหมาะ ทุกที่ก็ได้นะ แต่ถ้าหากว่าได้ที่ ๆ เป็นสัปปายะจริง ๆ ก็เป็นอันว่าอันนั้นน่ะวิเศษเลย
       ถาม :     คนในอดีตที่มาเกิดในชาติปัจจุบัน ถ้าเป็นคน ๆ เดียวกันมาเกิดแล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะต้องมีหน้าเหมือนหรือคล้ายกัน ?
       ตอบ :   ไม่จำเป็น เพราะว่าเรื่องรูปร่างหน้าตานี่รูปร่างไม่เปลี่ยนจะมีรูปร่างคล้ายคลึงชาติเดิม แต่ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำ อย่างเช่นว่า ถ้าเจ้าโทสะก็จะขี้เหร่หน่อย ถ้าหากประกอบไปด้วยเมตตาหรือศีลนี่หน้าตาก็จะสวยงามเป็นที่ต้องตาต้องใจคนอื่นเขา แต่ว่าสิ่งที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยน ต้องใช้คำว่าไม่ค่อยจะเปลี่ยนคือ
               ๑.   ลักษณะรูปร่าง อาตมาเองเคยเห็นคนบางคนพอเห็นปุ๊บนี่สะดุดใจเลย พอนึกย้อนไปอ๋อ....ที่แท้เราเคยเห็นมาก่อน แต่ว่ามันไม่ใช่ชาตินี้ เคยสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อน รูปร่างเขาเหมือนเดิมทุกอย่าง
               ๒.   ลักษณะนิสัย เคยชอบอย่างไงก็จะเป็นอย่างนั้น กินอาหารแบบไหนถนัดเกิดมาชาตินี้มันก็จะกินแบบนั้น เพราะฉะนั้นลักษณะรูปร่างลักษณะนิสัยนี่มันไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ลักษณะหน้าตานี่เปลี่ยนแน่
       ถาม :     ถ้าหน้าเหมือนกับชาติที่แล้ว ?
       ตอบ :   เป็นไปได้เหมือนกันก็แสดงว่าความดีเขาสม่ำเสมอ
       ถาม :  การที่ผู้ปกครองมีค่านิยมให้ลูกหลานให้เรียนถึงปริญญาตรีใช้เวลาเรียนถึง ๑๖ ปี ค่านิยมนี้บางครั้งเวลาจบออกมาก็ไม่มีงานทำ ขณะที่คนไม่ได้เรียนหรือเรียนน้อยกับประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน อย่างนี้ควรตั้งอารมณ์ความคิดไว้อย่างไร หรือถ้าเรียนทางโลกนั้นควรจะยึดถืออยู่ระดับใด ?
       ตอบ :  โบราณท่านบอกว่า รู้จริงแล้วสิ่งเดียวอาจมีมั่ง เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อยชั่วลื้อเหลนหลาน ขอให้ชำนาญจริง ๆ อย่างเดียวก็เป็นอันว่าคุณเอาตัวรอดได้แน่นอน การเรียนมากส่วนใหญ่มันจะตกลักษณะความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความชำนาญจริง ๆ มันไม่มีอย่างหนึ่ง
              แล้วในขณะเดียวกันว่าอาจจะไปเรียนสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รักไม่ได้ชอบเลย แต่ว่าโดนผู้ปกครองฝืนใจให้เรียน แล้วถามว่ารู้สึกอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับอันนี้ ใครก็ตามที่สามารถเอา ตัวรอดได้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เรียน แต่ว่าเขาเรียนมหาวิทยาลัยของโลก เขาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยของทางราชการ มหาวิทยาลัยของโลกประสบการณ์มันเยอะ ของสหรัฐเขาจัดโครงการไอสไตน์น้อย เขาจะเอาเด็กที่มีไอคิวสูงเกิน ๑๒๐ ขึ้นไปมาศึกษาเรียนรวมกัน ปรากฏว่าพังบรรลัยหมดเลย
              เพราะว่าเด็กพวกนี้มันมีแต่ไอคิว คือสมองในด้านกำหนดจดจำของเขา มันไม่มีอีคิว คือการรักษาอารมณ์ เขาเรียกว่าวุฒิภาวะ ในเมื่อวุฒิภาวะไม่พอเอาแต่ใจตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองฉลาด ก็เลยเข้าสังคมกับเขาไม่ได้ พอเอาไปรวมกันก็แตกกันบรรลัยหมด
              เพราะฉะนั้นในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียนมากฉลาดมากไม่ใช่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ว่าคนที่รู้ว่าอะไรเหมาะอะไรควร รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เอาตัวรอดได้ในสังคมในโลกกว้างนี่ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จน่า สรรเสริญ
       ถาม :     อย่างนี้ถ้าสมมุตเรามีลูกก็ไม่จำเป็นจะต้องตั้งเป้าว่าจะต้องจบปริญญาตรี ?
       ตอบ :  ไม่จำเป็น นั่นเป็นการบีบคั้นกดดันลูกมากเกินไป อย่างเช่น ตอนนี้อาตมาส่งเด็ก ๆ เรียนอยู่ก็บอกเขาว่าให้เรียนเต็มที่ ถ้าเราทำเต็มที่แล้วมันได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น หลวงพ่อไม่เคยตั้งความหวังอะไรกัีบหนูหรอก
       ถาม :    ถ้าฆราวาสได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ได้บวช ในวันรุ่้งขึ้นก็จะตาย ในปัจจุบันนี้ที่ผ่านมาไม่นานมีหรือไม่ครัึบ ?
       ตอบ :  มันน่าจะมีอยู่้ แต่ว่าของเราเองนี่เนื่องจากการพยากรณ์มรรคผลเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่า นั้น ก็เลยไม่มีใครที่จะไปชี้ว่าคนนั้นเป็นพระอรหันต์ คนนี้บรรลุมรรคแล้วตาย แต่ขอยืนยันว่ายังมีอยู่ มีเป็นปกติด้วย ทำถึงเมื่อไหร่ถ้าหากว่าเป็นฆราวาสอยู่ก็ตายเมื่อนั้น
       ถาม :    การที่เราจะรู้ว่าของเก่าทุนเดิมของเราได้ฝึกในวิชชา ๓ หรือฝึกอภิญญามาอันนี้เราจะสังเกตดูได้จากไหน ?
       ตอบ :    อันนี้ดูจากจริต นิสัยเฉพาะตนโบราณใช้คำว่า อัชฌาสัย คือความรักชอบเป็นส่วนตัว ตัวเองชอบแบบไหน อย่างเช่น หลวงพ่อท่านเปรียบเทียบว่า เขาเอาของวางไว้ เราอยากรู้อยากเห็นว่ามันเป็นอะไรแล้วเราเปิดดู นี่ก็เป็นลักษณะของวิชชา ๓ ของเขา แต่ถ้าเปิดดูยังไม่พอเอาของเขามารื้อด้วยอย่างนี้เป็นอภิญญา ๖ ไอ้รื้อด้วยไม่พอมันจับวิจัยแยกธาตุเลยว่ามีสารประกอบอะไรบ้างพวกนี้ปฏิสัมภิทาญาณ
              เพราะฉะนั้นจริตของแต่ละคนดูออกได้เลยโบราณเรียกว่าอัชฌาสัย ถ้าพวกประเภทวางลงไปแล้วเขาบอกว่าเออแก้วน้ำนะอยู่ในกล่องนี้ เขาก็เชื่อว่าแก้ว แล้ววางลงไปที่เดิมนี่สุกขวิปัสสโกแน่นอน
       ถาม :   คนกล่าวกันว่าคนสมัยนี้อายุยืนขึ้นเพราะว่าการแพทย์สารธารณสุขดี จริง ๆ แล้วมีส่วนหรือไม่ หรือเป็นการทำปาณาติบาตน้อย ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าอายุยืนขึ้นนี่อานิสงส์ของการเว้นจากปาณาติบาตแน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่เคยเป็น ๒ สิ่งที่ท่านพูดต้องถูกต้องแน่นอน อย่าลืมว่าการแพทย์สมัยนี้ถึงมันจะเจริญขึ้นก็จริง แต่ถ้าบุญคนมันไม่เหมาะสมมันก็จะไม่ได้มาเกิด ในเมื่อเขามาแล้วอายุเขายืนขึ้น สามารถอยู่ต่อได้นานขึ้นก็แปลว่าตัวบุญที่เขาทำมามันส่งให้มาตอนช่วงนี้
       ถาม :    ก็ไม่เกี่ยวเรื่องแพทย์น่ะซิ ?
       ตอบ :  มันมีส่วนเกี่ยวอยู่ เรื่องการแพทย์ที่มันช่วยได้เพราะบุญเก่ามันเสริม มันต่างคนต่างเสริมกัน ถ้าไม่มีบุญเก่าก็ไม่มีโอกาสมาเกิดในยุคที่การแพทย์มันดี ๆ
       ถาม :     อ๋อ เขามาสรุปที่ว่าอายุยืนขึ้น......
       ตอบ :    ใช่ นั่นมันสรุปแค่ที่มันเห็นไง 
       ถาม :   การจัดงานฉลองวันเกิดจริง ๆ แล้วจัดได้หรือไม่ เพราะว่ามีคนเขาบอกว่าจัดงานวันเกิดแล้วเป่าเค้กไม่มีผล ?
       ตอบ :    อันนั้นมันแล้วแต่เขา ถ้าเขาชอบอย่างนั้นแล้วสบายใจก็ให้เขาทำไป จริง ๆ แล้วลักษณะของงานวันเกิดนี่ของอาตมาเอง วัน เกิดตัวเองนี่มันน่าจะนึกถึงพ่อแม่ของตัวเอง โดยเฉพาะแม่วันที่เราเกิดนั่นเป็นวันที่แม่เกือบจะตายใช่มั้ย ? บุญคุณของพ่อแม่ที่ทำให้เราเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาได้ปฏิบัติธรรมได้ถึงทุก วันนี้ พ่อแม่ให้ร่างกายเรามาแล้ว เรามาพบพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดใหม่ทางใจอีกครั้งหนึ่ง พ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
              ในแต่ละชาติที่เกิดมาบางชาติเราได้พบพระพุทธเจ้า บางชาติเราได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าทีเป็นแสนองค์ บางชาิติเราได้พบพระอรหันต์ทีละหลาย ๆ องค์ แต่ว่าไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่งเราก็มีพ่อหนึ่งองค์แม่หนึ่งองค์ เพราะฉะนั้นพ่อแม่น่ะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นพระอรหันต์ในเรือน เป็นพระอรหันต์ในบ้านของตัวเอง
              เพราะฉะนั้นวันเกิดของตัวเองควรจะเป็นวันที่นึกถึงพ่อนึกถึงแม่ เป็นวันที่ควรจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพ่อกราบแม่ขอพรจะดีกว่า เสร็จแล้วเราจะทำบุญตักบาตรสร้างความดีในจิตใจของเราก็ทำไป แต่ว่าถ้าโดยในจริง ๆ แล้วสมัยนี้มันเฝือเกินไป โบราณเขานิยมทำบุญอายุครบ ๖๐ ปี ครั้งเดียวหลังจากนั้นแล้วก็จะทำลักษณะว่าครบ ๑๐ ปีทำทีหนึ่ง หรือครบรอบ ๑๒ ปีทำทีหนึ่ง จากนั้นก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ๙๐ หรือไม่ก็จะเป็นครบ ๖๐ ๗๒ ๘๔ ๙๖ เขาจะไม่ทำกันพร่ำเพรื่อเหมือนสมัยนี้
              เพราะว่าสมัยโบราณเขาถือกันเหมือนกัน ยิ่งถ้าหากว่าคนที่เป็นคนที่นับถือของคนจำนวนมากแล้ว เวลาจัดงานลักษณะอย่างนั้้นคนก็จะแห่กันไปเอาของไปช่วยเอาเงินไปช่วยอะไร อย่างนี้ เขากลัวว่าการจัดงานมันจะเป็นการเบียดเบียนคนอื่นเขา ทำให้คนอื่นเขาลำบากเขาก็เลยไม่พยายามจัด แต่สมัยนี้ยิ่งพวกข้าราชการบิ๊ก ๆ นี่ขยันจัดกันทุกปี เพราะจัดแล้วได้ตังค์แน่ ๆ
       ถาม :     เขาเป่าเค้กก็ไม่บาปนะครับ ?
       ตอบ :     ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเถอะ
       ถาม :  .........(ไม่ชัด)............. ๗๙% การใช้พลังจิตคือการนำจิตใต้สำนึกของคนมาใช้ การสะกดจิตคนที่นอนหลับให้พูดหรือทำสิ่งต่าง ๆ หรือการใช้พลังจิต เช่น การใช้กระดาษตัดตะเกียบหรือการสะกดจิตให้คนสามารถยกของหนัก ๆ ได้ อย่างนี้เป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ และอยู่ในการใช้อารมณ์ของฌานหรือไม่ ?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นอารมณ์ของสมาธิหรือไม่ มันเป็นสมาธิที่โดนชักจูงด้วยพลังงานภายนอก อย่างเช่นว่า พลังจิตของคนที่เขาสะกดนี่แล้ว ก็ไปดึงเอาพลังงานแฝงในร่างกายของเขาออกมา ทำให้เขาสามารถทำในสิ่งที่ปกติแล้วทำไม่ได้ออกมา แล้วถามว่าเป็นสมาธิหรือไม่ เป็นเหมือนกัน แต่ว่าเป็นโดยลักษณะชักจูงของเขาโดยเกิดการกระตุ้นจากภายนอก การกระตุ้นจากภายนอกนี่พวกสารเสพติดต่าง ๆ ก็จะกระตุ้นได้ อย่างเช่น กินยาม้าเข้าไปแล้วก็แข็งแรงผิดปกติอย่างนี้ เป็นต้น
              เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาบอกมามันใช่ของเขาตามหลักการค้นคว้าของเขา แต่ว่าสภาพของมันจริง ๆ แล้วจิตมีพลังงานมากกว่านั้นมากอย่างมหาศาลเลย พวกที่วิทยาศาสตร์เขาสามารถทำได้นั่นมันแค่ผิว ๆ อยากจะเรียกว่ายังไม่เข้าสู่หมายเลขหนึ่งซะด้วยซ้ำ ขณะที่จริง ๆ มีเป็นพันล้าน
       ถาม :   มันแค่เปลือก ๆ
       ตอบ :     แค่สะเก็ดด้วยซ้ำ ไม่ถึงเปลือกเลย อย่าว่าแต่กระพี้หรือแก่นเลย
       ถาม :  หลวงพ่อท่านเล่าว่าตอนที่ไปเทวสภาพบเทวดาเป็นสิบล้าน จริง ๆ แล้วเทวดาที่อยู่บนสวรรค์มีมากกว่านี้หรือไม่ และถ้ามากกว่าสิบล้านทำไมท่านถึงไม่ได้มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า หรือว่าท่่านมีภารกิจอย่างอื่นด้วย ?
       ตอบ :  สวรรค์ชั้นเดียวเทวดาก็เกินสิบล้านแล้ว มีตั้ง ๑๖ ชั้น แล้วเหตุที่ไม่มาฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าทั้งหมดก็เพราะว่า อันดับแรกที่ติดภารกิจ อย่างเช่นว่าต้องดูแลรักษาสถานที่สำคัญในพระพุทธศาสนา หรือว่าสิ่งที่เป็นทรัพย์ในแผ่นดินเป็นอะไร หรือไม่ก็อีกอย่างหนึ่งก็คือมัวแต่เพลินเพลินกับกามสุขจนไม่ได้้ใส่ใจกับการ ปฏิบัิติเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง
               ส่วนหลังนี่มากนะ เพลินอย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร อากาศจารีเทพบุตร ไปแงะออกจากวิมานยังไม่ค่อยอยากจะมา กว่าจะรู้ว่าตัวเองหมดอายุแล้วมีอายุขัยแค่ ๗ วัน ตกใจซะเหงื่อโทรมเลย นั่นน่ะขนาดนั้นยังเพลินยังไม่รู้ตัว
       ถาม :  ท่านพระโสดาบันที่ต้องมาเกิดอีก ถ้าเกิดมาในชาติต่อไปท่านจะเป็นพระโสดาบันโดยกำเนิดเลยหรือไม่ หรือต้องมาบรรลุธรรมใหม่อีกครั้งหนึ่ง ?
       ตอบ :     มันเป็นโดยกำเนิด สภาพจิตที่เป็นพระอริยะ อริยะแปลว่า มีแต่เจริญขึ้นไม่มีการเสื่อมถอย ของท่าน ๆ จะรักษาความเป็นโสดาบันโดยอัตโนมัติเลย แต่ว่าท่านก็ไม่รู้ตัวเองเป็นโสดาบัน ไม่รู้....แต่ว่ารักษาคุณสมบัติได้ครบถ้วนจนกว่าจะมีผู้รู้มาบอกว่าลักษณะ อย่าง ๆ เป็นคุณสมบัติของโสดาบัน ท่านก็อ๋อ....ความจริงเราก็ทำได้นี่นา (หัวเราะ) เหมือนกับคนที่มีเงินอยู่ในกระเป๋า โห....เงินเต็มไปหมดถึงเวลาเอาเงินเอาทองออกมาตรวจมานับอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าไอ้นั่นน่ะเป็นเงินเป็นทองของตัวเอง จนกระทั่งเขาบอกว่า เฮ้ย ! ไอ้ลักษณะนี้มันเป็นเงินเป็นทองนะ เอาไปใช้ได้ ก็ โถ....เรามีอยู่เยอะแยะไป

shinpe uhah

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 21 เมษายน 2009, 19:32:27 »

มีกี่เดือนครับเนี่ย เยอะมากๆ มาขอบคุณก่อนครับ ขอก็อบเอาไปอ่านแล้วกันนะครับ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 22 เมษายน 2009, 18:33:48 »

http://grathonbook.net/book/16.html

สนทนากับพระเล็ก  สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกันยายน  ๒๕๔๔   
ณ  บ้านอนุสาวรีย์ฯ 
          ถาม :    ถ้ามีคนกลั่นแกล้งเรา   เราควรตอบโต้หรือไม่ถ้าตอบโต้ควรตอบโต้ด้วยวิธีใด    หรือให้เราคิดว่าเป็นเรื่องเรื่องของกฏแห่งกรรม ?
       ตอบ :  จริง ๆ ถ้าสามารถทำใจว่าเป็นกฏของกรรมแล้วไม่โต้ตอบใครเลยนั่นเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ที่สุด แต่ถ้าหากว่าคิดว่าจะสงเคราะห์คนบางคนประเภทจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะคนบางประเภทเอาความดีเข้าไปสู้เขาจะไม่รู้ตัว แต่ว่าการตอบโต้นั้นต้องระวังใจของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไหร่มันจะประกอบด้วยตัว วิหิงสาวิตก   คือคิดจะเบียดเบียนเขา   
              เพราะฉะนั้นถ้าจะวิเศษที่สุดก็คือว่าปล่อยวางไปอย่าไปสนใจเขาว่ามันเป็น กฏของกรรมไปตบมือข้างเดียวมันไม่ดังอยู่แล้ว แต่ว่าคนประเภทที่ว่ามานี่มันเยอะ เพราะฉะนั้นถึงเราจะไปแก้นิสัยของคน ๆ นี้เดี๋ยวคนต่อไปก็ต้องไปแก้มันอีกก็ยุ่งตาย ปล่อยวางไปซะอย่าไปยุ่งกับมันเลยเป็นดี เฉยไว้ดีกว่าปลอดภัยกว่าเยอะ
       ถาม :   ในยุคปัจจุบันที่ผ่านมา   มีหรือไม่ที่ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์แล้วบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคล  ?   
       ตอบ :     มียืนยันว่ามี   ยิ่งตอนสมัยที่หลวงพ่ออยู่ยิ่งเยอะ   ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจตอนนั้นเท่านั้นเองนะ   มีจริง  ๆ 
       ถาม :     เรื่องของนางกวัก   มีผลจริงหรือไม่ครับ  ?
       ตอบ :   นางกวัก  ถ้าหากว่าทำถูกต้องตามพิธีกรรมของเขามีผลจริง   สมัยโบราณพิธีกรรมทุกอย่างขึ้นอยู่กับสติ    สมาธิทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่เสาะหาไม้มา จะต้องใช้ฤกษ์ไหน ยามไหนไปตัด ? เวลาตัดต้องภาวนาคาถาว่าอย่างไร ? ได้มาเสร็จแล้วต้องประกอบด้วยพิธีอย่างไร ? จะกลึงจะเกลา จะควัก จะแกะสลักอย่างไร ? ต้องกำกับด้วยคาถาอะไร ? กำลังจิตที่มุ่งมั่นขนาดนั้นทำให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยปริยายแล้ว ยังไม่ทันจะทำพิธีใหญ่เลยนะ
                แล้วพอพิธีใหญ่บวงสรวงอัญเชิญถูกต้องตามพิธีกรรมมันก็ยิ่งขลังไปใหญ่    ก็ต้องดูด้วยว่าคุณภาพของคนทำแค่ไหน   ถ้าคนทำคุณภาพสูงแค่ไหนผลก็สูงแค่นั้น   ถ้าคุณภาพของใจเขาแย่มาก  ๆ   เลยอย่างน้อยก็ให้เขาอาศัยเป็นเครื่องยึดได้   
       ถาม :    อย่างนี้เราเห็นนางกวักทั่ว  ๆ ไปเราก็ดูถูกเขาไม่ได้  ?
       ตอบ :     ก็ดูถูกไม่ได้    เพราะว่าจริง   ๆ   แล้วเรื่องของความเคารพนี่ถ้าถึงเวลาแล้วเทวดาเขาก็รักษาให้เพราะว่าถือว่ามันเป็นเทวดาตานุสสติอย่างหนึ่ง    ขืนดูถูกเทวดาก็แย่  (หัวเราะ)
       ถาม :     วันพระต่างจากวันอื่น   ๆ   อย่างไรครับ    การทำบุญในวันพระอานิสงส์ต่างจากในวันอื่น  ๆ  หรือไม่ครับ  ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันไม่ต่างหรอกนะ เพียงแต่ว่าในวันพระ อย่างเช่นว่า บางทีจะเป็นวันวิสาขบูชา มาฆะบูชาหรืออาสาฬหบูชา เป็นวันพระที่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าท่านโดยตรง อย่างเช่นว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เป็นวันแสดงปฐมเทศนา เป็นวันที่ประชุมสงฆ์แสดงซึ่งโอวาทปติโมกข์เหล่านี้ กำลังใจของเรา ถ้าเราเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติอยู่แล้ว
                ตั้งใจว่าวันนี้เรานึกถึงพระเป็นพุทธานุสสติ  เดี๋ยวเราไปวัดเราได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเป็น ธรรมานุสสติ   เราไปแล้วเรา จะได้กราบหลวงพ่อองค์โน้น   หลวงปู่องค์นี้   ได้ฟังพระสงฆ์ของวัดเราสวดมนต์อย่างนี้เป็นสังฆานุสสติ ถ้าหากว่านึกอยู่อย่างนี้เเป็นปกติมันเป็นวันพระอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าวันอื่น ๆ เราไม่ได้นึกเลย ไปนึกเอาเฉพาะวันพระ วันพระเขาจะต่างจากวันอื่น แต่ว่าวันพระพิเศษที่จะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าโดยตรงยังไง ๆ กำลังใจของเราก็จะต้องเกาะต้องนึกอยู่แล้ว เออ.. วันนี้วันวิสาขะพระพุทธเจ้าเคยประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานมาแล้วก็สามารถทำให้โยงจิตของเราเข้าถึงความดีได้ ง่ายกว่าอยู่หน่อยหนึ่ง สำคัญอยู่ตรงการนึกถึงความดีตรงระหว่างที่ทำ
       ถาม :     อย่างนี้อานิสงส์ก็คือเหมือนกับวันอื่นทุกวัน ?
       ตอบ :  ใช่อานิสงส์ก็คือเหมือนกันถ้าเราทำทุกวัน ถ้ากำลังใจเราเกาะเป็นปกติ ถ้าไม่ได้เกาะเป็นปกติก็วันนั้นก็เป็นวันพิเศษอยู่หน่อย
       ถาม :  มาร... จริง ๆ มีตัวตนอยู่หรือไม่ ? บางสำนักก็กล่าวกันว่าการไปนิพพานของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจะไปสมทบเป็นกองทัพเพื่อไปปราบคณะมาร ทัศนคติและความเชื่ออย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
       ตอบ :  มารมีจริง ๆ นะ อันนี้คำถามช่วงแรก มารมีจริง ๆ ลักษณะเป็นตัวเป็นตน เป็นกองทัพอะไรจริง ๆ ของเขา แต่ว่าในสำนักที่เขาบอกว่าไปนิพพานไปสมทบไปปราบมารนั้นท่านไม่ไปปราบให้เสีย เวลาหรอก ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง มาร คือผู้ขวาง คือผู้ฆ่า เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไปใช่มั้ย ? เราเองปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้นเราก็ปฎิบัติของเราไป มันเหมือนกับคนพ้นคุกแล้วแต่ย้อนกลับไปรื้อคุกทิ้ง ทันหน้าที่ของเราหรือเปล่าล่ะ ๆ ไม่ได้เกี่ยวเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราจะไปว่าผู้คุมคุกนี่ไม่ดีจับเราเข้าคุกหรือตำรวจไม่ดีจับเรา เข้าคุกก็รวมหัวกันไปตีตำรวจมันไม่ใช่เรื่องของพลเมืองดี เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเป็นทัศนคติที่ถูกต้อง ก็ถือว่าถูกของเขาล่ะ แต่ว่ามันผิดของเราก็แล้วกัน เขาเชื่ออย่างนั้น ห้ามเขา ๆ ก็ไม่ฟังเรา
       ถาม :  พระปัจเจกพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ให้คาถาไว้ท่องเป็นอนุสสตินี้ เจาจะนึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษหรือไม่ครับ ?
       ตอบ :    นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ว่าคาถาเงินล้าน ซิหมดเรื่องพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมีเยอะ แล้วพระนามของท่านก็มี แต่ว่าเนื่องจากว่าหลวงปู่หลวงพ่อทางด้านครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้บอกไว้ใช่ มั้ย ? เราเองเราก็นึกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าของพระคาถาเงินล้าน   ถ้านึกภาพท่านไม่ออกก็นึกภาพพระพุทธเจ้านั่นแหละ    พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าทุกอย่างเพียงแต่รัศมีความสว่างน้อยกว่าพระพุทธเจ้านิดเดียวเท่านั้นเอง
       ถาม :    การที่จิตของเราได้ไปกราบเทวดา   นางฟ้า  พรหม   อานิสงส์เป็นพิเศษอย่างไร ?
       ตอบ :  ดูว่าเราไปกราบที่ไหน ถ้าเราไปกราบบนพระนิพพานนี่รับรองว่าพิเศษแน่ ๆ เพราะตอนนั้นกำลังใจของเราเข้าพระโสดาบันนะ ไปกราบที่พรหมอย่างน้อย ๆ เราก็เป็นผู้ทรงฌานเหมือนพรหม ไปกราบที่เทวดาเราก็เป็นผู้ทรงฌานอยู่แล้ว แต่ว่าสภาพของเทวดานี่มันยังมีความรื่นเริงบันเทิงใจในเรื่องของกามอยู่ กำลังใจของเราเกาะอยู่ในส่วนนี้ถือว่าเป็น เทวตานุสสติ    ขณะเดียวกันก็ยังเป็นกำลังของสมาธิสมาบัติด้วย     
               แต่ว่าจริง ๆ   แล้ว ท่านให้ยึดว่าท่านทั้งหลายเหล่า นี้ ท่านอยู่ในลักษณะนี้ ท่านเป็นเทวดา เป็นพรหมหรือว่าท่านอยู่ในลักษณะใดแล้วให้เราทำคุณสมบัตินั้นให้ได้ เพื่อให้เราคงความดีเพื่อจะให้มีคุณสมบัติอย่างท่าน ทำอย่างนี้จะถูกต้องตามคำแนะสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะจุดสุดท้ายของเทวตานุสสติแล้ว คือความเป็นพระวิสุทธิเทพ เทวดาผู้มีความบริสุทธิ์สิ้นเชิงก็คือ พระอรหันต์กติกาการเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไรก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป
       ถาม :  การที่เราทำบุญกุศลในขณะที่ผู้ให้กำเนิดคือ พ่อ แม่ ยังมีชีวิตอยู่และเราได้อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน ถ้าพ่อแม่ได้ตายไปท่านจะได้บุญกุศลที่เราได้อุทิศให้หรือไม่ ?
       ตอบถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่ บอกท่านแล้วท่านอนุโมทนา ผลบุญนั้นเป็นของท่านอยู่แล้ว ยกเว้นอยู่อันเดียวคือการบรรพชาบวชพระบวชเณร อันนี้จะเป็นบุญพิเศษถึงจะไม่ได้บอกให้ท่านโมทนา ท่านก็ได้ แต่ว่าตอนตายไปจะต้องดูว่ากำลังใจท่านเกาะอะไร ถ้าเกาะดีท่านก็ไปดี ผลบุญส่วนนี้ก็เสริมให้ท่านไปดียิ่งขึ้น ๆ ไป แต่ถ้าท่านเกาะไม่ดีลงไปข้างล่างเสีย ผลบุญอันนี้ก็ต้องรอไปก่อนเป็นหมันไปก่อนจนกว่าท่านจะพ้นเป็นสภาพดีผลบุญอัน นี้จึงจะเสริมอีกทีหนึ่ง
       ถาม :     อย่างนี้ก็ไม่สูญเปล่าซิครับ  ?
       ตอบ :    ไม่สูญเปล่า    แต่ว่าอุทิศตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นี่ต้องบอกให้ท่านรับรู้    ไม่ใช่เรามาอิทังปุญญผลัง    คนเดียว
       ถาม :  มีคนกล่าวกันว่า การทำบุญโดยอธิษฐานหวังผลว่าขอให้ร่ำรวยหรือขอให้มีโชคลาภอย่างนี้เป็นสิ่ง ที่ไม่ดี จริง ๆ แล้วผิดถูกหรือไม่ ? แล้วทำได้หรือไม่ ? เพราะมีคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนร้องขอ
       ตอบ :     อันนั้นถูกของเขาแต่มันผิดของพระพุทธเจ้า     อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีอธิษฐานบารมี   การทำบุญจะต้องการผลตอบแทนหรือไม่ก็ตามผลเกิดแน่นอน    เพราะว่าการกระทำทุกอย่างที่เรียกว่ากรรมนั้นจะเป็นกุศลกรรมคือความดีหรืออกุศลกรรมความชั่วนั้นผลเกิดขึ้นแน่  ๆ   คราวนี้ผู้ ที่ใช้อธิษฐานบารมีนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา เขากำหนดไปเลยว่าสิ่งที่เขาทำนี้มันจะต้องเกิดผลอยู่แล้ว ในเมื่อจะเกิดผลในลักษณะไหน ? จะเกิดผลเมื่อไหร่ ? เมื่อถึงวาระนั้น เวลานั้น ผลที่ต้องการมันก็จะต้องมาสนอง แต่ไม่ได้อธิษฐานเอาไว้ก็หมายความว่าเขาไม่ได้กำหนด เมื่อถึงวาระ อย่างเช่นเหมือนกับหิวน้ำอยู่ไม่มีน้ำกว่าน้ำจะมาอีก ๒-๓ วันมาเราก็แย่หรืออาจจะตายไปเลย
              เพราะฉะนั้นการใช้อธิษฐานบารมีนี่หลวงพ่อท่านจึงเปรียบเหมือนกับยิงปืนต้อง เล็งเป้า โอกาสถูกเป้ามันมีมากกว่า แต่ว่ายิงเปะปะไปเลยกว่าจะถูกเป้าบางทีก็จะหลายชาติ ฉะนั้นถึงได้กล่าวไว้ว่า อธิษฐานบารมีเป็นเรื่องของบุคคลที่เข้าถึงอุปบารมีขั้นปลายไปจนถึงปรมัตถบารมีเท่านั้นถึงจะใช้อธิษฐานบารมีเป็น ถ้าหากว่าต่ำกว่านั้นก็จะใช้ไม่เป็นหรอก เขาก็จะคิดแบบนี้คิดว่า เออ....มันเป็นการเรียกร้อง มันยังเป็นกิเลสตัณหาอยู่อะไรอยู่ยุ่งไปหมด ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ประเภทไม่ได้ศึกษาให้ครบ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 23 เมษายน 2009, 16:12:10 »

http://grathonbook.net/book/16.2.html

ถาม :     การทำโยคะซึ่งเป็นการออกกำลังกายรวมกับการทำสมาธิแบบใช้ลมหายใจตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่   ?
       ตอบ :      ถ้าสมาธิทรงตัวได้แน่นอน    อย่าลืมว่าโยคะส่วนใหญ่เขาจะไปเป็นพรหมกัน    ถ้าทรงฌานเป็นปกติ เพียงแต่ว่าของเขาเองมันจะเป็นลักษณะโลกียพรหม ส่วนใหญ่ก็จะไปติดอยู่ตรงนั้นเอง บริหารกายอย่างเดียวมันยังไม่พอ มันต้องบริหารใจด้วย
       ถาม :   ระดับอาจารย์ที่ทำเป็นชั่วโมง   ๆ   ไปได้เหมือนกันใช่มั้ยครับ  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่เหมือนกันหรอกไปเยอะเลย ดูถูกเขาไม่ได้นะพวกบรรดาพราหมณ์ต่าง ๆ นี่ พวกลัทธิโยคีต่าง ๆ เป็นของศาสนาพราหมณ์เขาอย่าลืมว่าพราหมณ์นี่จริง ๆ แล้วเขาเป็นพี่พุทธมาก่อน พระพุทธเจ้าของเรายังศึกษาจากเขามาก่อน แล้วพอเห็นว่ามันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์จริงถึงได้แยกออกมาค้นคว้าจนได้พบพระ อริยสัจ
       ถาม :  ดร. เกอวิเนียนเป็นแพทย์ให้คนป่วยที่ทรมานและต้องการตาย นายแพทย์คนนี้ช่วยเหลือให้คนป่วยให้ตายตามต้องการด้วยการฉีดยาให้ และก่อนทำได้ให้คนป่วยเซ็นชื่อยินยอมเรียบร้อย อย่างนี้ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่ ?
       ตอบ :    อันนั้นมันมีผลแค่ทางกฏหมายของโลกเท่านั้น ในทางธรรมมันก็ยังเป็นปาณาติบาต คือตัดชีวิตผู้อื่นอยู่ดี แต่ว่ามันเป็นในลักษณะที่ว่าสมยอมด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย โทษมันก็เลยน้อยลงจะเรียกว่าไม่มีโทษไม่ได้ ... มีแน่นอน เพราะว่าชีวิตเกิดมาแล้วมันต้องเป็นไปตามกรรมของเขา ถ้าไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาของเขาคุณไปตัดชีวิตของเขาคุณก็เกิดโทษ เพราะคุณไปตัดชีวิตของเขาคุณก็เกิดกรรม ที่เขาให้เซ็นสัญญาอะไรนั่นมันเป็นการป้องกันทางโลกเท่านั้น กฏหมายทางโลกเขาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันถูกต้องเพราะว่าคนไข้ยินยอม แต่ว่าในเรื่องของธรรมะนั้นคุณไปตัดชีวิตเขา ผิดแหง ๆ
       ถาม :   การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี    ๗   ประการ  ..?
       ตอบ :  ฮึ ๆ เพิ่มมาจากไหนอีกประการหนึ่ง ฉัพพะแปลว่า ๖ ฉัพพรรณรังสี ๗ ประการมันงอกมาจากไหนอีกหนึ่ง (หัวเราะ) ๖ ประการ
       ถาม :   อ๋อครับ   ๖  ประการ   มีลักษณะและสีเป็นอย่างไรบ้าง  ?
       ตอบ :  มีลักษณะก็คือ เลื่อมประภัสสรก็คือ สีแก้ว แล้วก็นี่ละ เขาบอกว่าสีน้ำเงินเหมือนดอกอัญชัน แล้วก็ มัญเชษฐ สีแดงเข้มเหมือนดอกหงอนไก่ หงสบาท สีแดงอ่อนเหมือนเท้านกพิราบ แล้วก็ปิตกะสีเหลือง เหมือนหรดาลทอง โอทาตะ สีขาวเหมือนแผ่นเงิน รวม ๖ พอดี
       ถาม :   คนธรรดาถ้าจำเป็นต้องกินข้าววัด    ทำอย่างไรถึงจะไม่บาปครับ ?
       ตอบ :     กินที่เหลือจากพระ    เขาเรียกว่า วิทาสาโท กินได้แต่เอากลับบ้านไม่ได้นะ กินแค่อิ่มตรงนั้น อย่างญาติพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นเปรตตั้ง ๙๑ กัป นั่นกินแล้วไม่พอยังขนกลับบ้านด้วย จริง ๆ ถึงจะเป็น วิทาสาโท คือของเหลือจากพระแล้วมันก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ อันนั้นท่านอนุญาตให้คุณมีสิทธิ์กินสิทธิ์ใช้แค่ตรงนั้นเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นอย่าไปยุ่งกับเขา แต่ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ
              ยิ่งอันหนึ่งที่อันตรายที่สุดก็คือข้าวที่ถวายพระพุทธที่วัดบรรดามัคทายัก ไม่ใช่มัคทายก ส่วนใหญ่เลือกแต่ข้าวดี ๆ กับดี ๆ ถวายพระพุทธถึงเวลาลามาก็กินเอง นั่นนะซวยแน่ ๆ เพราะยังเป็นของสงฆ์อยู่เต็มที่เลย เพราะฉะนั้นถ้าหากใครเคยทำอย่างนั้น ตัวเองติดหนี้สงฆ์แล้วหาทางชำระหนี้สงฆ์ ไม่อย่างนั้นตายแล้วมันจะลงอเวจีมหานรก วิธีทำแล้วปลอดภัยคือกินที่เหลือจากพระฉันแล้ว แล้วหลังจากนั้นส่วนอื่นอย่าไปยุ่ง เราเอาแค่ดำรงชีวิตอยู่แค่นั้นพอแล้ว ถ้าติดใจก็ชำระหนี้สงฆ์ซะ
       ถาม :  ถ้าสมมุติว่าถ้าหากว่าเราจะฆ่าคน การเกิดของคน ๆ นั้นมักจะเริ่มจากผสมพันธุ์หรือจะอยู่ระหว่างอยู่ในท้องหรือหลังคลอดแล้วจึง เรียกว่าเป็นการทำปาณาติบาตครับ ?
       ตอบ :  ทุกระยะเลย เพราะว่าจิตที่เข้าปฎิสนธินี้เขาทำบุญทำกรรมมาไม่เสมอกัน บางรายนี่เข้าปฎิสนธิตั้งแต่เชื้อพ่อเข้าผสมกับไข่ของแม่ บางรายก็ตัวอ่อนพัฒนาไปก่อนระยะหนึ่ง บางรายก็เป็นรูปเป็นร่างเป็นอวัยวะครบ ๓๒ แล้ว บางรายก็คลอดออกมาข้างนอกแล้วเข้าไปถึงเข้าไปจับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะฆ่าในจังหวะไหนคุณมีสิทธิ์ปาณาติบาต ๑๐๐ % เพราะว่าสัตว์ที่เข้าปฎิสนธินั้นจะเข้าไปช้าเร็วต่างกันตามกรรมที่ทำ มีสิทธิ์โดนได้ทุกระยะ?
       ถาม :    คนที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันแต่ว่ามีใบหน้าเหมือนกันหรือคล้ายกันมีกรรมอะไรเป็นตัวชี้   ?
       ตอบ :  ก็คงทำอะไรที่ใกล้เคียงกัน อย่างเช่น สวยเหมือนกัน อาจจะประเภทเคยสร้างพระพุทธรูปมาเหมือน ๆ กันเคยซ่อมพระพุทธรูปเก่ามาเหมือน ๆ กัน สิ่งเหล่านี้พวกวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เรียก แฝดเทียม     แฝดเทียมนี่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน     อยู่คนละประเทศคนละมุมโลกเลยก็เหมือนกันได้      พวกหนังสือแปลก  ๆ   ของฝรั่งมันชอบถ่ายที่หน้าเหมือน   ๆ   กันมาลง     
               อาตมาเองสมัยอยู่วัดท่าซุง ก็โดนมาเต็ม ๆ เห็นเขาเดินมาก็นึกว่ามาหา ทีนี้ตรงห้องที่หน้าหลวงพ่อนั่นมันเป็นห้องมุ้งลวด เวลาฝุ่นมันจับ ๆ นี่มองจากข้างนอกมันมองไม่เห็น คนจากข้างนอกมันจะมองไม่เห็น คนข้างในมองออกมามันจะเห็น ก็คิดว่าเข้าไม่เห็นก็ตะโกนเรียก ก็เอ๊ะ ! ทำไมเรียกชื่อเขาเฉย ๆ ก็แปลกใจเรียกอีกทีก็ยังเฉยดูไปดูมามันเหมือนกันตั้ง ๘๐-๙๐ % แต่มันไม่ใช่คนที่เรารู้จัก เขาต้องทำบุญทำบาปอะไรที่มันใกล้เคียงกันมามันถึงเป็นแบบนี้
       ถาม :  คราวที่แล้วได้ถามเกี่ยวกับโยเรนั้น อยากจะเรียนถามว่าการบอกกล่าวกับคนทั้งหลายว่า โยเรนั้นเป็นพุทธศาสนาโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเกิดในยุคของพระศรีอารยิ์ แต่การปฎิบัติเป็นอีกรูปแบบหนึ่งอย่างนี้ถูกหรือไม่ครับ ?
       ตอบ :  ดูเขาก็แล้วกัน บอกว่าเป็นพระพุทธศาสนานั่นก็มีส่วน พระพุทธศาสนาของเราจริง ๆ มันคลุมทุกศาสนาอยู่แล้วใช่มั้ย ? การปฎิบัติของเขา ๆ ตั้งจุดมุ่งหมายอยู่ตรงไหน อันนั้นมันก็ตามหลักของแนวการปฎิบัติของเขา เราจะไปว่าเขาบาปไม่ยอมไปนิพพานชาตินี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพระโพธิสัตว์บาปหมด เพราะฉะนั้นถามว่าบาปมั้ย ? ไม่ใช่หรอกมันแล้วแต่ว่าทิฐิอันไหนของใครของมัน    เขาเห็นว่าอันไหนเหมาะกับเขา  ๆ   ก็ทำไป
       ถาม :   ถ้าจะไปติเขานี่ก็ไม่ควร  ?
       ตอบ :     นั่นเราผิดแน่  ๆ    เลยไปติเขา     ให้ติตัวเอง
       ถาม :  เมื่อหลายปีก่อนได้มีพระท่านหนึ่งไปฝึกสมาธิที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และมีเพื่อนคนหนึ่งนั่งสมาธิและกล่าวได้พบสถานที่มีความสวยงามมากและมีความ รู้สึกว่าหนาวมาก ทำไมถึงมีความรู้สึกอย่างนั้น ?
       ตอบ :  อันนั้นมันต้องถามเขาเองว่ะ (หัวเราะ) อันนั้นต้องไปถามเขาเองว่าทำไมรู้สึกอย่างนั้น เพราะอาตมาไม่รู้ด้วยว่าที่เขาเจอนั่นที่ไหน คือบางอย่างมันก็เป็นนิมิตขณะเดียวกันบางอย่างมันก็เป็นสถานที่ ๆ ตัวเองไม่คุ้นเคย สถานที่ ๆ เราไม่คุ้นเคยนี่ความรู้สึกมันจะแรงเป็นพิเศษ อย่างเช่นว่า มันตื่นเต้นเป็นพิเศษ มันมีความสุขสดชื่นเป็นพิเศษ หรือบางทีที่ ๆ สงบเยือกเย็นมันก็มีความรู้สึกหนาวเป็นพิเศษไปเลย อะไร ที่แรก ๆ มันเหมือนกับเยอะมาก
              แบบเดียวกับคนที่เข้าถึงปฐมฌานใหม่ ๆ เจ้าพระคุณ ! เราได้เขาพระสุเมรทั้งลูกเลย มันใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน พอทำไปทำมาถึงฌาน ๒ ไอ้ฌาน ๑ นั่นมันกระจ้อยเดียว อะไรที่มันยังไม่ชิน มันจะเกิดเป็นความรู้สึกพิเศษทั้งนั้น ส่วนที่ว่าทำไมเขารู้สึกอย่างนั้น มันน่าจะถามเขาเอง ถามคนอื่นบอกว่าทำไมกินแล้วมันรู้สึกอย่างนั้น เราไม่ได้กินก็แย่ซิจะไปรู้ได้อย่างไร
       ถาม :   แล้วที่จริง   ข้างบนนี่หนาวมั้ยคะ  ?
       ตอบ :     ไม่หนาว    ของเขาพอดี   ๆ   ทุกสภาพ
       ถาม :    มันเป็นความรู้สึกของคนที่ทำ
       ตอบ :     เฉพาะเขาเอง
       ถาม :  คนบางคนเกิดมามีทรัพย์สินเงินทองมากมาย บางคนเกิดมาทำมาหากินด้วยความวิริยะอุตสาหะในการทำงานแต่ว่าก็ไม่เกิด ทรัพย์สิน อยากถามว่าคนที่มีแต่ความเพียรอุตสาหะในการทำมาหากินอย่างเดียวแต่ไม่เคยทำ ทานในชาติก่อนจะเกิดความร่ำรวยได้หรือไม่ ?
       ตอบ :  ยาก ยกเว้นมีโอกาสที่จะได้ทำในครุกรรมฝ่ายกุศลในชาติปัจจุบัน อย่างเช่น ได้ใส่บาตรกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ เพราะอันนี้มันเป็นกรรมในชาติปัจจุบัน เรียกทิฏฐธรรมเวทนียกรรม  ที่ให้ผลในชาติปัจจุบันเลยนะ      ถ้าจะเอาไอ้ประเภทที่ อัปปราปรเวทนียกรรม ที่ให้ผลในชาติที่ ๒ ที่ ๓ มาอะไรมาอย่างคนอื่นที่เขาทำมานี่ไม่มีทาง มีโอกาสเดียวเท่านั้นซึ่งมันก็คงจะยาก เพราะเรื่องอย่างนั้นมันต้องเป็นคนที่ประเภทเขาทำบุญมาดีเยอะแล้วมันจะมารอง รับเหมือนกัน
       ถาม :  อย่างนี้ก็คือ   ประกอบกันทั้ง   ๒   อย่างคือ   มีความขยันในการทำมาหากินด้วย
       ตอบ :     ขณะเดียวกันมันต้องมีทานบารมีเก่าด้วย
       ถาม :   ถ้าคนเอาแผ่นทองไปปิดไว้ด้านหลังพระแล้วเวลาทำความดีแล้วคนอื่นไม่เห็น   หรือมองข้ามความสำคัญอย่างนี้    จริงหรือไม่ครับ  ?
       ตอบ :     ไม่จริง   ปิดทองส่วนไหนขององค์พระก็ตาม   อานิสงส์เป็นพุทธบูชาทั้งนั้น    อานิสงส์ที่เป็นพุทธบูชานี่ท่านบอกว่า   ?พุทโธอัปปมาโณ? พระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ เรื่องคนจะไม่เห็นน่ะไม่มี ถึงเวลาถึงวาระบุญมันจะส่งให้เด่นขึ้นไปเอง ดีไม่ได้พวกปิดทองข้างหลังพระนั้นเด่นเป็นพิเศษ ให้คนเขาถีบออกไปไง (หัวเราะ) ในหลวงท่านสร้างพระอยู่รุ่นหนึ่งเรียกว่า ?สมเด็จจิตรลดา?    เวลาท่านมอบให้บุคคลที่ทำคุณความดีและรับใช้ใกล้ชิดท่านบ้าง      ท่านจะบอกว่าให้ปิดทองข้างหลัง     
               คุณวสิษฐ์    เดชกุญชร ตอนนั้นเป็นนายตำรวจประจำราชสำนักอยู่ ก็กราบทูลในหลวงว่าปิดทองหลังพระทำแล้วคนอื่นไม่เห็น มันหมดกำลังใจครับ ในหลวงทรงตรัสว่า คุณปิดให้เยอะเข้าไว้เหอะ   เดี๋ยวมันก็ล้นไปข้างหน้าเอง  (หัวเราะ)    จริงมั้ยละ      ปิดมันให้เยอะเข้าไว้เดี๋ยวมันก็ล้นมาข้างหน้าเอง
       ถาม :  อย่างนี้ก็เป็นความเชื่อที่ผิด  ?   
       ตอบ :    ก็เรียกว่าเป็นความเชื่อที่ผิด     จริง  ๆ  แล้วเรื่องอานิสงส์การเป็นพุทธบูชา   อย่างเมณฑกเศรษฐีนี่ไม่ใช่หลังพระนะ    ก้นส้วมด้วย   โอ้โห...รวยซะจนนับไม่ได้เลย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 24 เมษายน 2009, 13:46:00 »

http://grathonbook.net/book/16.3.html

ถาม :  การบรรลุธรรมนี้จะกำหนดได้หรือไม่ว่าจะสำเร็จขั้นไหน  ๆ   ?   
       ตอบ :    คงจะยาก ยกเว้นว่าคุณทำอธิษฐานบารมีมา   ตัวอธิษฐานบารมีนี่มันจะทำให้กำลังใจของเราปักมั่นอยู่ในจุดนั้น มีโอกาสเหมือนกันอย่างเช่นว่า เราตั้งใจจะเป็นพระโสดาบันแค่นั้น ถ้าหากว่าเรามาแค่นั้นตัวอธิษฐานบารมีมันหมดลง มันก็ตะทำให้ความมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าต่อมันน้อยลงไป ก็อาจจะได้แค่พระโสดาบัน อันอื่น ๆ เราต้องตะเกียกตะกายไขว่คว้ากันต่อ มันก็ตั้งใจเหมือนกันแค่คราวนี้เราตั้งใจ หลวงพ่อท่านแนะนำบอกว่าตั้งใจ ให้ถึงยอดสุดไปเลย ท่านบอกตั้งใจเอาพระอรหันต์เข้านิพพานไปเลย เหมือนกับคนปีนต้นไม้ตั้งใจว่าจะขึ้นถึงยอดมัน ตะเกียกตะกายเต็มที่ ถึงมันจะไม่ถึงยอดแต่มันก็ได้มากอยู่     แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะขึ้นครึ่งต้นนี่    เดี๋ยวมันตะกายไปหน่อยมันหมดกำลังใจ    มันได้ไม่ถึงครึ่งต้นที่ต้องการ
       ถาม :    พระอนาคามีที่ไม่ได้บวชเป็นพระยังมีการทำมาหากินหรือไม่ครับ  ?
       ตอบ :   มีอยู่    อย่างเช่นว่า   ท่านจิตหัตถ์คฤหบดี   ท่านเป็นพระอนาคามีแต่ว่าเป็นเศรษฐี    แล้วก็พระเจ้ามหานาม ที่ท่านเป็นพระอนาคามีอยู่ท่านอยากจะบวชก็จะสละราชสมบัติให้พระน้องชาย ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้บวชเหมือนกันก็ถามว่าเป็นกษัตริย์ต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องดูแลความสุขของประชาชน ต้องทำไร่ไถนาถึงเวลาก็ต้องไถคราด ถึงเวลาก็ต้องไถแปร ถึงเวลาก็ต้องหว่าน ถึงเวลาก็ต้องไขน้ำเข้านา ถึงเวลาก็ต้องดูแลไล่พวกหนู พวกแมลง พวกนกพวกอะไรที่จะมาหากิน ถึงเวลาก็ต้องเก็บเกี่ยว ท่านได้ยินเสร็จท่านก็บอกว่าอย่างนั้นพี่อยู่ต่อเถอะ ผมบวชเองดีกว่า (หัวเราะ) ถ้าถามว่าพระอนาคามีเป็นอย่างไร ? ก็ยังดำรงชีวิตอยู่แต่ว่า ท่านจะอยู่อย่างมีสติกว่าคนทั่ว ๆ ไป เพราะท่านหมดอยากเสียแล้ว ตัวโลภตัวหลงของท่านเองมันเหลือน้อยเต็มที โทสะกับราคะนี่ขาดแน่ ๆ แล้ว
       ถาม :    คนที่กล่าวว่า    พระพุทธเจ้าไม่ทรงกล้าตอบว่าตายแล้วไปไหนถึงแม้จะเป็นสัพพัญญูทุกอย่างคน  ๆ   นี้ตายแล้วไปไหนครับ  ?
       ตอบ :  โทษปรามาสพระพุทธเจ้าไปไหนก็ไปตรงนั้นแหละ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเขาเก่งกว่านะ เขาคงกล้าตอบ (หัวเราะ) ที่พระพุทธเจ้าท่านระบุชัดไม่ได้เพราะว่า จิตสุดท้ายของแต่ละคนมันเกาะไม่เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ชัดเลยใน มหากัมมวิภังคสูตร   กับ  จุลกัมมวิภังคสูตร บุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาทรงฌาน ๔ แล้วได้ทิพยจักขุญานได้ไปรู้เป็นนรกสวรรค์แล้วกล่าวว่า บุคคลที่ทำความชั่วลงนรกทั้งหมด บุคคลที่ทำความดีขึ้นสวรรค์ทั้งหมดตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่เพราะว่าจิตสุดท้าย นั่นมันจับต่างกัน
               ตัวอย่างชัดเลยก็มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร   ทำความชั่วตลอดชีวิตก่อนตายคิดถึงพระพุทธเจ้านิดเดียวไปสวรรค์ก่อน     ส่วนพระนางมัลลิกาเทวี ทำความดีตลอดชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวไปนรกก่อน ถามว่ายุติธรรมมั้ย ? ก็ยุติธรรมอยู่เพราะว่า ท่านทำความดีนิดเดียวท่านก็อยู่ข้างบนแป๊บเดียว ทำความความชั่วนิดเดียวก็อยู่ข้างล่างแป๊บเดียว
               แล้วอีคราวนี้ของมัฏฐกุลฑลีบุตรนั่นท่านโชคดีมหาศาลที่ว่า   พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรดพุทธมารดาพอดีแล้วได้เพื่อนดีคือ   อากาศจารีเทพบุตร อุตสาห์มาฉุดลากให้ไป ถึงได้รู้ว่าตัวเองหมดบุญ พอได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์กลายเป็นพระโสดาบันจุติเดี๋ยวนั้นแล้วเกิดใหม่ ทิพย์สมบัติเป็นของพระอริยเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นเสร็จแหง ๆ เลย
       ถาม :   มีแม่ชีท่านหนึ่งแนะนำให้ฆราวาสคอยแนะนำธรรมะกับพระบวชใหม่ถูกต้องหรือไม่  ?   
       ตอบ :    ถ้าหากว่าพระใหม่ท่านไม่รู้อะไรเลย แล้วฆราวาสนั้นท่านปฎิบัติได้ถูกต้องจริง ๆ ก็สมควรอยู่ แต่ว่ายังไงเสียอย่าลืมตอนสุดท้าย    ปีที่แล้วมามีคณะของพระจากวัดอู่ทองพา พระเณรไปปฎิบัติที่โน่นก็มีพระ ๗ องค์ แล้วเณร ๘๔ องค์ ก็จะมีครูที่เป็นฆราวาสไป ๔-๕ คน เห็นแล้วชอบใจที่สุดตรงจุดสุดท้ายหลังจากการปฎิบัติเรียบร้อยแล้ว มันจะมีการอยู่เพื่อฝึกติวเข้มกันในระยะ ๓ วันต่อเนื่อง
              พอวันสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับ ครูที่เป็นฆราวาสทั้งหมดกราบขอขมาลูกศิษย์ กราบขอขมาลูกศิษย์เพราะว่าถึงตัวเองจะเป็นครูก็จริงแต่เป็นฆราวาสใช่มั้ย ? ศีลน้อยกว่า เขาเองก็เลยใช้วิธีขอขมา อันนั้นเขาทำถูกต้องมากเลย
               เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าพระลูกศิษย์ต้องเรียกฆราวาส    ฆราวาสมีความรู้ในการปฎิบัติมาดีมากเลย     อย่างหลวงพ่อพระอาจารย์มหาเสริมชัย    ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม สมัยฆราวาสท่านปฎิบัติได้เยี่ยมเลย ถ้าอย่างนั้นเป็นอาจารย์พระที่บวชใหม่ได้สบายแต่ก็ทำในลักษณะว่าทำด้วยระมัด ระวังแล้ว ถึงเวลาแล้วก็ขอขมาก่อน
       ถาม :  ถ้ามีคนเอาปืนมายิงเราหรือต่อยเราก่อนและถ้าเราตอบโต้ด้วยการป้องกันตัว เช่น ยิงปืนตอบหรือต่อยกับเขา อย่างนี้ทำได้หรือไม่ครับ ?
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วทำได้ แต่ถ้าถามว่าเกิดโทสะมั้ย ? ต้องดูว่าตอนนั้นจิตของเราประกอบไปด้วยโทสะมั้ย ? ถ้าจิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ หวังที่จะล้างแค้นหวังที่จะตอบโต้เพื่อเอาคืนให้ได้ อย่างนั้นก็แปลว่าเราก็เลวด้วย แต่ว่าโดยสัญชาติญาณของคนทั่ว ๆ ไป เมื่อมันโดนมี ๒ อย่างถ้าไม่หนีก็สู้ใช่มั้ย ?
               ลักษณะของการสู้นี่ลำบากเพราะว่า   ถ้าจิตประกอบไปด้วยโทสะ    เราตายตอนนั้นขึ้นไปเราก็แย่เลย  มันน้อยคนนะที่ประเภทตอบโต้แล้วจะไม่มีโทสะ    เพราะงั้นก็ดูเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วกัน    อะไรสมควรอะไรไม่สมควรมันจะขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราตอนนั้นแล้ว    ถ้าหากว่าตัวตายซะดีกว่าก็เอาซิ    มีปัญญาให้มันฆ่าไปอย่างนั้น     
       ถาม :    อารมณ์ที่ท้อแท้สิ้นหวัง   หมดหวัง    อยู่ในกิเลสประเภทใดและใช้อารมณ์ใดมาแก้  ?
       ตอบ จัดอยู่ในโมหจริต   จะต้องแก้ด้วยตัวอาณาปานุสสติกรรมฐาน โมหจริตนี่จับตัวอื่นไม่เอาด้วยเลย เพราะฉะนั้นต้องมีครูบาอาจารย์อยู่ใกล้ ๆ หรือกัลยามิตรอยู่ใกล้ ๆ คอยกระตุ้นให้ใช้อาณาปานุสสติ พอกำลังใจ เริ่มเข้าถึงตัวปีติของอาณาปาเมื่อไหร่ ก็จะหลุดพ้นจากสภาวะนั้นเลย ถ้าทรงฌานได้แล้วพ้นแน่นอน แต่ว่าอย่าให้ฌานเสื่อม
       ถาม :    การสูบบุหรี่แล้วเป็นมะเร็งตายถือว่าเป็นการตายก่อนกำหนดหรือไม่  ?
       ตอบ :  ดูด้วยเขาหมดอายุขัยมั้ย ? การตายผิดปกติคือตายเพราะโรคภัยรุนแรงหรือว่าตายเพราะอุบัติเหตุต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะไม่หมดอายุขัย แต่บางคนเขาหมดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ตัว ยถากัมมุตาญาณ ให้คล่องถึงจะสามารถระบุได้ว่าอะไรเป็นอะไร
       ถาม :    ถ้าอย่างผมสูบบุหรี่แล้วเป็นมะเร็งตาย  ?
       ตอบ :  ก็ดูซิถ้าสมมุติว่าอายุขัยเรา    ๗๕   ปี   เราตายตั้งแต่   ๕๗   ก็แปลว่ายังเหลืออีกบาน  (หัวเราะ)   
       ถาม :    การตอบแทนคุณบิดามารดาด้วยการเลี้ยงดูท่านกับการประพฤติตัวเป็นคนดีมีศีลธรรม   อย่างไรเป็นการตอบแทนได้มากกว่ากัน   ? 
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วก็คือว่ามันจะต้องทำร่วมกันนะ การเลี้ยงดูบิดามารดา การประพฤติตนเป็นคนดี การรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล เมื่อท่านตายแล้วทำบุญส่งไปให้ท่าน ท่านก็บอกเอาไว้เลยว่าเป็นหน้าที่ที่บุตรธิดาต้องทำให้กับบิดามารดา ถามว่าอันไหนดีกว่ากัน บอกยากมันต้องทำร่วมกันทั้งหมด
       ถาม :  การที่เราได้ฝันว่าได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า หลวงปู่ปานหลวงปู่ศุข หลวงพ่อฤๅษีลิงดำและฝันว่าตนเองได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีอภิญญา อย่างนี้ผิดหรือไม่ที่คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ?
       ตอบ :    อ๋อ    ผิดแหง  ๆ   (หัวเราะ)   เพราะว่าอันนั้นมันฝัน  ฝันมันไม่เป็นไปตามสภาพจิตอาจจะเป็นกรรมนิมิต    จิตนิวรณ์   เทพสังหรณ์  หรือธาตุวิปริต ก็ได้ แต่เราก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีของเรา เป็นนิมิตหมายอันดีของเราว่า เราฝันได้พบเห็นสิ่งที่ดีอันเป็นมงคล โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฎิปันโนปฎิบัติดีปฎิบัติชอบอย่างแท้ จริง แล้วจิตใจของเราก็มุ่งมั่นที่จะปฎิบัติเป็นพระอรหันต์
               ในเมื่อเราฝันว่าได้พบท่าน   เราฝันว่าเราเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์มีเดชอะไร   มันตรงตามกำลังใจของเรา   ๆ  ก็เก็บไว้เป็นกำลังใจของเราว่า ในเมื่อเราได้พบท่านก็แสดงว่าคุณความดีของเราก็มีอยู่เหมือนกัน สิ่งที่เราตั้งความปรารถนาเอาไว้ ในเมื่อนิมิตบอกว่าสำเร็จ เราก็ถือว่ามันเป็นมงคลนิมิตอันดี เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป แต่ถ้าหากว่าไปมัวแต่ฝันเฟื่องว่า เฮ้ย ! เราเป็นละก็เสร็จแหง ๆ รับรองว่าต้องหันลงไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว
       ถาม :  การที่ตัวผมเองไม่เคยพบกับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ในปัจจุบันนี้ผมได้ฟังเสียงท่านเกือบทุกวัน แล้วก็ชอบที่จะฟังธรรมะจากท่าน อย่างนี้เป็นเหตุผลของกรรมอะไรมาก่อนหรือเปล่า ?
       ตอบ :  กรรมอะไร ? จริง ๆ แล้วมันอยู่ลักษณะที่ว่าวาระมันยังมายังมาไม่ถึง ในเมื่อวาระมันยังมาไม่ถึงสิ่งที่เราแทนที่จะได้พบตอนนั้นมันยังไม่ได้พบถ้า หากว่าเราไม่ได้พบหลวงพ่อฤๅษีลิงดำใช่มั้ย ? อาตมาเองก็ไม่ได้พบหลวงปู่ปาน (หัวเราะ) แย่พอกัน (หัวเราะ) แล้วเดี๋ยวคนต่อ ๆ ไปมันมาถัดจากคุณไปไม่ได้พบอาตมาอย่างนี้เดี๋ยวมันตีกันตายพอดี เพราะฉะนั้นมันแย่พอกันนะ (หัวเราะ) อย่าไปนึกน้อยใจอะไรมันเสียเวลาตัวเอง
       ถาม :    แล้วทำไมผมถึงมีนิสัยที่ชอบทางที่ท่านพูด    ท่านบอกอย่างนี้ครับ  ?
       ตอบ :   ของเราเองมันเคยสร้างบุญร่วมกันมา ในเมื่อเคยสร้างบุญร่วมกันมาสิ่งอะไรที่ท่านสอนมา เราจะเข้าใจได้ง่ายปฎิบัติตามได้ง่ายก็เกิดรักชอบ ยิ่งทำแล้วเป็นไปตามที่ท่านบอกทุกอย่างมันไม่ใช่รักชอบธรรมดา มันจะเป็นศรัทธาเลื่อมใส แล้วตัวศรัทธาปสาทะจากการได้ผลของการได้ผลของการปฎิบัติ มันจะเป็นศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมถอย มันจะยึดมั่นปักมั่นเลย     
              ถึงได้บอกว่ามันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่หลวงพ่อท่านมีคนไปหาจำนวนมาก ในเรื่องตอนที่แชร์แม่ชม้อยล้มเขาแห่กันไปหาหลวงพ่อ เขาจะให้หลวงพ่อยืนยันว่าชม้อยล้มหรือไม่ล้ม พอหลวงพ่อท่านไม่ยืนยันให้ เดือนที่ ๓ มันหายไปครึ่งหนึ่ง พอเดือนที่ ๔ ที่ ๕ ก็แทบไม่เหลือเลย นั่นน่ะจุดมุ่งหมายเขาไปนั่นมันไม่ได้ไปด้วยธรรมะ แต่ของเรา ๆ รู้ว่าตลอดเวลาที่หลวงพ่อสอนเรามาในด้านการปฎิบัตินี่ไม่เคยผิดเลย เราทำยังไงก็ได้ผลยังงั้น
              เพราะฉะนั้นของเราเองเราไม่ถอยไปไหนอยู่แล้ว ก็บอกกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ กันตอนนั้นก็ไม่ได้บวชด้วยกัน เขาชื่อพุฒิ ?ลุงพุฒิ? จำไว้เลยนะเราสองคนนี่เขาเห็นหน้าประจำ ถ้าเราหายไปด้วยเมื่อไหร่นี่ คนที่เหลืออยู่นี่ดีไม่ดีมันหายหมด เพราะฉะนั้นเป็นตายยังไงเราก็ต้องอยู่กับหลวงพ่อ เสร็จแล้วพอคนอื่นหายหมด เราเองก็ทำให้เขาดูซะเลยว่า ของเราเองมันสวนกระแสแทนที่จะเป็นฆราวาสตามปกติก็บวชมันซะเลย ตกลงว่าชม้อยล้มอาตมาบวช (หัวเราะ)
       ถาม :  อานิสงส์จากการที่เขาบอกให้เราไปล้างห้องน้ำไปล้างห้องส้วมอย่างนั้นเหมือน กันมั้ยคะ ? ( อานิสงส์เหมือนการสร้างห้องส้วมมั้ย ?)
       ตอบ :  ไปล้างห้องน้ำห้องส้วมมันมีอานิสงส์พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้ว่าคนไหนที่ตกงานอยากจะได้งานให้ไปขัดส้วม ไปที่วัดไปล้างส้วมให้สะอาด เสร็จแล้วไปอธิษฐานกับพระประธานว่า อานิสงส์ของการล้างส้วมครั้งนี้ขอให้ได้งานทำด้วย รับรองได้ว่าได้แน่
       ถาม :   เรื่องงานอย่างเดียวเหรอคะ ?   
       ตอบ :  เรื่องงานอย่างเดียว เรื่องอื่นนี่ไม่ทราบเหมือนกันแต่ว่าอานิสงส์ของเวจจกุฎีนี่จริง ๆ ก็เป็นส่วนของวิหารทานอยู่แล้ว ใครสร้างส้วมก็มีวิมานของตัวเองเหมือนกัน ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของวิหาร เพียงแต่ว่ามันเป็นที่เฉพาะ สำหรับในการถ่ายทุกข์ จึงมีผลพิเศษว่าถ้าเกิดใหม่จะมีโรคน้อย

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 25 เมษายน 2009, 22:32:10 »

http://grathonbook.net/book/16.4.html

ถาม :  พระธาตุ    ๕    ดวงนี่หมายถึงยังไงคะ   มีพระธาตุทั้งหมด....?
       ตอบ :  จะมีเจดีย์    ๕   องค์   ทีนี้ทางเหนือเจดีย์เขาเรียก    พระธาตุ เขาไม่เรียกเป็นองค์นะ    เรียกเป็น    ดวง     พระธาตุ   ๕   ดวง    ก็คือ   เจดีย์   ๕   องค์   
       ถาม :  แล้วมีพระธาตุอยู่หรือเปล่าคะ  ?   
       ตอบ :   ไม่ทราบว่าโบราณเขาบรรจุไว้รึเปล่า    ต้องถามเจ้าอาวาสดูทางเหนือนี่   สร้างเจดีย์เขาเรียก    สร้างธาตุ    อย่างพระธาตุดอยสุเทพ  ก็คือ   เจดีย์ดอยสุเทพ 
       ถาม :     ทีนี้พอพูดถึงพระธาตุ    เราก็ต้องนึกว่าต้องมีพระธาตุท่านอยู่ในนั้น  ?
       ตอบ :    โบราณส่วนใหญ่เขาทำก็มีพิธีพระธาตุบรรจุ
       ถาม :  (ถามเกี่ยวกับการชำระหนี้สงฆ์)
       ตอบ :     ชำระหนี้สงฆ์นี่ก็ต้องจัดอยู่ในสังฆทาน    ธรรมทานไปเลยถ้าหากว่านอกเหนือจากนั้นแล้วอย่าไปยุ่ง    คำว่าหนี้สงฆ์       คำว่าหนี้สงฆ์นั่น  คือ  ส่วนรวมอย่างน้อยอย่างต่ำสุดต้องสังฆทาน    สูงก็สังฆทานได้บุญอะไรที่ต่ำกว่าสังฆทานก็อย่าไปแตะ
       ถาม :    ..............................
       ตอบ :    อันดับแรก    เราตั้งใจว่าทรัพย์สินสิ่งของอะไรที่เราเอาไปมีราคาเท่าไหร่ในอดีตเราไม่นับ    เราต้องนับราคาปัจจุบัน อย่างเช่นว่าถ้าเป็นรถยนต์คันหนึ่งสมัยก่อนราคาแสนหนึ่ง แต่สมัยนี้ ๘ แสนก็ต้องคืนเขา ๘ แสนเขาคิดราคาปัจจุบันหมด ของสงฆ์ไม่มาการเก่าไม่มีการเสื่อมสภาพ
       ถาม :   หากตายไปแล้วล่ะครับ  ?
       ตอบ :     ตายไปแล้วเกิดใหม่ว่ากันไหม่    มันมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่าให้เทียบราคาทอง     เพราะราคาทองเป็นของมาตฐานสมัยนั้นทองใช้ราคาของเขา    ซื้อทองได้เท่าไหร่    ปัจจุบันนี้เขาก็เอาราคานั้นของทองมา 
       ถาม :    ..........................
       ตอบ :  อันนั้น ถ้าหากว่ามันยุ่งมาก ส่วนใหญ่แล้วที่พลาดในอดีตชาตินั่นมันจะใช้หนี้เขามาแล้ว ถ้าหากว่ากลัวว่ามันยุ่งยากมาก บางทีมันมีอะไรนิดหน่อยหรือกำลังบุญเราสูงกว่าแล้ว เรารอดพ้นมาได้จะต้องไปใช้เขา ก็ให้ทำการชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ก็สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไปเลย การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์นี่อดีตถึงปจจุบันเป็นอันว่าเจ๊ากันไป     แต่พระชำระหนี้สงฆ์นี่ทำยากเพราะว่าต้องสร้างพระพุทธรูปหน้าตักถึง   ๔   ศอกนะ    ๒   เมตรเต็ม  ๆ    ถึงจะชำระหนี้อันนั้นได้   
               คุณเอาไปกี่ล้านก็ตามถ้าพระนั้นราคาแสนเดียวก็แปลว่า ชำระได้ เพราะว่าอานิสงส์การสร้างพระนั้น ถ้าหากว่าเป็นพระไม่ปิดทองก็ได้ตัวเจ้าภาพคนเดียวคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าพระนั้นปิดทองจะร่วมกันกี่ร้อยกี่พันคนมีอานิสงส์ชำระหนี้เหมือนกัน หมด  
       ถาม :    แล้วที่ผมเคยได้ยินมาครับว่า   สร้างองค์ปฐมชีวิตนี้ไม่ตกนรกแน่นอนจริงหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :     ถ้าไม่ทำอนันตริยกรรม คือกรรมหนักไม่สามารถแก้ไขได้ ๕ ประการตัวอย่างคือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต หรือยุสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าไม่ได้ทำกรรมหนัก ๕ อย่างนี้ บุคคลที่ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐม พระยายมท่านรับปากว่าจะพยายามประคับประคองกำลังใจให้นึกถึงด้านบุญให้ได้   คนที่ทำบุญนี้จะต้องนึกถึงด้านบุญก่อน
       ถาม :   นั่นน่ะซิครับ   ถ้าอย่างนี้ตอนจะตายไม่คิดอะไรก็  ....?
       ตอบ :  ท่านจะบังคับให้คิด ถ้าไม่คิดก็ตีกบาล (หัวเราะ) ยังไงก็ต้องคิดดีให้ได้ เรื่องอำนาจของเทวดา ของพรหมเรื่องบังคับความคิดของเรานี่เป็นเรื่องที่หมูที่สุดของท่านเลย แต่ เนื่องจากว่าท่านเองท่านจะไม่ยุ่งกับเราในสิ่งที่เกินกฏของกรรม เหตุที่ท่านรับปากได้เพราะว่าอานิสงส์ที่เราสร้างมันสูงมาก ในเมื่อมันสูงมากท่านก็สามารถจะช่วยได้หน่อย ยังไง ๆ ก็อย่าชั่วมากก็แล้วกัน 
       ถาม :   การสร้างพระใหญ่นี่ระหว่างสมเด็จองค์ปฐมกับพระพุทธรูปองค์อื่นอานิสงส์จะเท่ากันหรือต่างกันครับ  ? 
       ตอบ :     มันก็จะหนักเบาไปตามบารมีของท่าน
       ถาม :  แล้วอย่างนั่นที่เราสร้าง....(ไม่ชัด)  ..........?
       ตอบ :  อันนั้นหลวงพ่อท่านเคยแนะนำว่า ถ้าหากเราไม่มั่นใจว่าสถานที่ ๆ เราอยู่อาศัยมันเคยเป็นเขตของสงฆ์มาก่อนหรือเปล่า ให้แต่ละปีจัดการชำระหนี้สงฆ์อย่างเช่นว่า เอาเช่นวางเงินสัก ๑๐๐ - ๒๐๐ บาท ไปที่วัดใกล้ที่สุดบอกว่า   ชำระหนี้สงฆ์ค่าที่อยู่อาศัยเท่ากับเราเช่าที่
       ถาม :   เห็นต้นไม้ในวัด   เป็นผลไม้   มะม่วงสวยดีนะ  ?
       ตอบ :    ไปถึงก็เก็บ  (หัวเราะ )   สาหัสจ้า
       ถาม :    เขาเองคิดว่าเป็นทานนะ
       ตอบ :  จริง ๆ แล้วเขาจะคิดอย่างนั้นหารู้ไม่ว่ามันเป็นโทษ ถ้าจะให้เขาให้เองไม่ใช่เราไปเก็บเอง เราไม่ใช่เจ้าของจะไปถือสิทธิ์อย่างนั้นไม่ได้มันเสียมารยาทแล้ว
       ถาม :   แล้วมีพระในวัดบอกว่าเก็บได้ล่ะ ?
       ตอบ :     คนเดียวไม่ได้ ต้องพระทั้งหมด ยกเว้นว่าต้นไม้นั้นพระองค์นั้นปลูกเอง ถ้าอย่างนั้นเขาอนุญาตคนเดียวได้ไม่อย่างนั้น พระทั้งวัดต้องมีความเห็นร่วมกันถึงจะให้ได้    อย่างสมัยหลวงปู่ปาน ถึงเวลาเข้าพรรษาที ท่านจะทำเงินจำนวนหนึ่งอาจจะประเภท ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาทบอกว่า เงินจำนวนนี้ผมขอถวายสงฆ์เพื่อชำระหนี้สงฆ์ค่าผลไม้ ไม้ดอก ไม้ผล ทั้งหมดในวัดนี้ ผมอนุญาตให้โยมเขากินใช้ได้ ถ้าสงฆ์ทั้งหมดสาธุ ไม่มีใครคัดค้านก็เป็นอันว่าโอเค หลังจากนั้นแล้วคุณจะขโมยคุณจะเด็ดเองโดยพละการหรืออะไรก็ตาม โทษอันนี้มันไม่มีเพราะท่านเจตนาให้อยู่แล้ว
       ถาม :   จะมีซักกี่วัดล่ะครับที่ทำอย่างนี้   ?
       ตอบ :   ก็ไม่รู้   วัดอาตมานี่ประกาศตอนเข้าพรรษาบอกว่า   ขอให้เป็นสิทธิ์ของโยม    อาตมารับผิดชอบเอง
       ถาม :  ก็ยากนะ   เพิ่งเคยได้ยินเนี้ย  ?
       ตอบ :   ลองดูได้  ตายเมื่อไหร่แล้วจะซึ้ง   โทษอันนี้สาหัสเลย
       ถาม :    ผมเคยเล่าให้ฟังไงครับ    เห็นแม่ตัวเองทำยังตกใจเลย   ห้ามก็ไม่ได้     
       ตอบ :  นั่นไม่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วบรรดาพระลูกชาย พอโยมเขาถวายของอะไรมา บางทีประเภทกระโถน ปิ่นโตอะไร พริก น้ำปลาอะไรขนเข้าบ้านหมด พ่อแม่ก็กินก็ใช้กันครึกครื้นไปเลย มันหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ เลย
       ถาม :   งั้นคนที่บริโภคของโดยที่ไม่รู้นี่ว่าคนอื่นเอามาให้
       ตอบ :    คุณกินยาพิษโดยที่ไม่รู้   คุณตายมั้ย  ?
       ถาม :   อันนั้นมันเป็นเรื่องของจิตไม่ใช่เหรอครับ   หรือการเจตนา  ?
       ตอบ :   ก็นั่นล่ะ   แต่ทีนี้พอเรื่องของสงฆ์ โทษของเขา อภัยไม่มีเพราะคำว่า ?สังฆะ? หรือหมู่สงฆ์มันหมายรวมเอาทั้งหมดในศาสนานี้ โทษมันก็เลยหนักกว่าปกติ เพราะฉะนั้นหนักกว่าปกติไม่เจตนาของมดมันไม่เป็นไร นี่ไม่เจตนาของช้างมันเหยียบเฉี่ยว ๆ เราก็ตาย
       ถาม :  มันก็เหมือนกันนะ กำลังนั่งกินข้าวอย่างนี้ มีคนถือยาพิษผ่านเดินเสร็จมันกระฉอก ลมมันพัดหยดมาพอดี เราก็กิน เราตายเหมือนกันไม่มีใครตั้งใจฆ่าเขาซะหน่อย
       ตอบ :    คืออันอื่นไม่เจตนาโทษมันน้อยแต่ว่าเนื่องจากว่ามันเป็นกรรมเล็ก    แต่อันนี้มันเป็นกรรมใหญ่   ไม่เจตนาโทษมันก็มาก

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 27 เมษายน 2009, 00:01:43 »

http://grathonbook.net/book/16.5.html

ถาม :  เมื่อคืนนี้ไปกับหลวงพี่เอไปย้ายศาลพระภูมิ แต่โดนผีหลอกเข้าจังเลย แม่เขาไม่เคยเห็น ไม่เคยทำสมาธิเลยแล้วเขาอยากเห็น แล้วเขาก็อธิษฐานตอนบวงสรวง ขอให้เห็นหลวงพ่อบ้าง แล้วเขาก็นั่งหลับตา เห็นหลวงพ่อมา มีไม้เท้าแล้วตัวดำเมี่ยมเลย เขาบอกดำจนเขียวแล้ว แล้วหลวงพ่อก็มายืนก้มหน้าต่ำพอดีกับศาลยืน ๆ อยู่เขาเห็นบอก อุ้ย ! แล้วเขาตกใจ แล้วเขาบอกเขากลัว
       ตอบ :     (หัวเราะ)  เจอพระแล้วกลัว    เขามีแต่เจอผีแล้วกลัว
       ถาม :   ถ้าเป็นเจ้าที่นี่   ต้องมีองค์เดียวหรือเปล่าคะ   หรือว่าไม่จำเป็น  ?
       ตอบ :    พระภูมิเจ้าที่ หมายถึง  ถ้าต้องเขตของเรามีองค์เดียวแต่ถ้าหากว่าทั้งโลกนี่  นับไม่ถ้วน
       ถาม :  ถ้าเกิดอย่างคนที่ไซด์ที่สร้างตึกน่ะครับ เขานอน ๆ อยู่บอกเห็นมาหา ๒ องค์แล้วมาเสร็จมา ๓ ตัวตรง ๆ ตื่นขึ้นมาซื้อเลย
       ตอบ :  มันบางอย่าง บางทีไม่ใช่เจ้าที บางทีอาจจะเป็นจำพวกรุกขเทวดา อะไรที่อยู่แถวนั้นก็ได้ หรือไม่ก็ท่านอาจจะเป็นอากาศเทวดา ๆ นี่จะคลุมพื้นที่กว้างมากแล้วเป็นนายพระภูมิอีกทีหนึ่ง อย่างเช่นว่าพระภูมิคลุมพื้นที่ ๓ ตารางเมตร อากาศเทวดาอาจจะ ๓ พันตารางกิโลเมตรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอาจจะมาด้วยกันก็ได้
       ถาม :    เขาถูกหวย   ๕  งวดติดแล้วล่ะครับ
       ตอบ :  ดีแล้วบอกเขาบอกว่า ถ้าทำบุญให้เขานะจะได้ไปเรื่อย ๆ แสดงว่าอันนั้นต้องมีส่วนที่เนื่องกันมาแล้ว วาระบุญเขาส่งผลพอดี ไม่อย่างนั้นเขาสงเคราะห์ให้ไม่ได้หรอก เทวดาเขาจะไม่ฝืนกฏของกรรม อันนั้นพอเขารู้วาระบุญของคนนี้ มีจะได้รับในทานบารมีที่สร้างไว้ในอดีตแล้วมันมีส่วนเนื่องกันมาเขาก็เลย ช่วย
       ถาม :    ที่โน่นคนสร้างเขาไม่รู้   แล้วส่วนใหญ่เขาตั้ง   ๕   โมงเย็นแล้วส่วนใหญ่ตั้งศาลพระภูมินี่จะเป็นเหล้าขาวก่อน
       ตอบ :    แล้วไปเชิญที่ไหนเทวดาเขาจะมา    พวกผิดศีลเทวดาเขาเกลียด
       ถาม :  แต่ที่บ้านยังถือว่าโชคดีที่ว่า คนตั้งเขาตั้งค่อนข้างจะดีแต่ว่าไปตั้งอีกทิศหนึ่ง หลวงพี่เอบอกว่าพอทำเสร็จแล้วมาสร้าง มันน่าจะทำมาตั้ง ๒๐ ปีมาแล้ว......(ไม่ชัด) ........?
       ตอบ :  นั่นแสดงว่าผลบุญของเรายังค้ำอยู่นะ ถ้าผลบุญของเราไม่ค้ำตั้งผิดทิศนี่ถึงเวลากรรมมันเข้าท่านไม่ช่วยเลยนะ ถ้าท่านไม่ช่วยมีโอกาสเดี้ยงได้ง่าย ๆ เลย
       ถาม :   มีปัญหาเรื่องลูกค่ะ    เวลาหนูจะทำบุญเขาจะขัดอยู่เรื่อย   ชวนเขามาทำบุญเขาจะบอกว่ายังไม่ถึงเวลา   ๆ     
       ตอบ :    จ้า     คราวหน้าก็อย่าบอก   บอกว่าไปไหนก็ได้   ไม่ใช่มาทำบุญแต่ว่าเราไปทำบุญ
       ถาม :   หนูคิดว่าเป็นผลกรรมที่เคยทำไว้
       ตอบ :  เราจะคิดอย่างนั้นก็ได้ แต่เพื่อความอยู่สุขของเราเอง เพื่อความสะดวกบางทีบางอย่างมันตรงไปตรงมาไม่ได้ ในเมื่อตรงไปตรงมาไม่ได้บอกว่าไปหาเพื่อนก็ได้ เราก็แวะไปหาเพื่อนซักแป๊บแล้วเราจะเลี้ยวไปวัดหรือไปไหนต่อไปมันเรื่องของ เรา
       ถาม :  ขอถามเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องหลังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นแก่นแท้ แล้วนี่ เกิดมีคนถามผมว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร ผมก็เลย....?
       ตอบ :    ถ้าหากว่าในลักษณะนั้นให้ตอบว่า    คำสอนของพระพุทธศาสนาที่เป็นหลักจริง  ๆ  ก็คือ  ?โอวาทปาติโมกข์? ท่านสอนว่า ?ให้ทุกคนละความชั่วทั้งหมด ทำความดีให้ถึงพร้อม รักษาจิตใจของตนให้เบิกบานผ่องใสอยู่เสมอ? อันนี้เรียกว่าเป็นเนื้อหาคำสอนหลักของคำสอนของท่าน
                แต่ว่าก่อนตายพระพุทธเจ้าท่านสรุปลงเหนือคำ ?ไม่ประมาท?  คำเดียวอันนั้นมันหนักเกินไป มันต้องคนที่เข้าถึงธรรมะระดับที่เรียกว่าสูงมากเลยถึงจะเห็นตัวนี้ชัดเจน ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปบอกแค่นั้น แต่ความจริงตอนที่แสดงโอวาทปาติโมกข์ท่านสรุปเอาไว้เยอะท่านบอกว่า ขันติปรมังตะโปตีติกขา    ขันติเป็นตะบะอย่างยิ่งของนักปฎิบัติ     ก็หมายความว่า    คนที่ปฎิบัติต้องอาศัยความอดทนเป็นหลักเลย    นิพพานังปรมังวะ     ทันติพุทธา    
               พระพุทธเจ้าทุกองค์ย่อมกล่าวถึงนิพพานเหมือนกัน    นะหิปัพพชิโตปะรูปะฆาตี   การฆ่าผู้อื่นไม่ชื่อว่าบรรพชิต    แตะนิดเดียวก็ไม่ได้นะ     สะมะโณโหติปะรังวิเหฏยันโต  ท่านบอกว่าว่าคนเราจะชื่อว่าสมณะเพราะว่าลักษณะที่เรียกว่านุ่งห่มเครื่อง แบบเข้าไปเฉย ๆ ก็หามิได้ คือมันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ต้องปฎิบัติใจให้เป็นมันถึงจะเป็นไม่ใช่เป็นเพราะว่าสภาพเครื่องแบบมัน บังคับ
               แล้วท่านก็บอกว่า   อนูปะวาโท     ต้องไม่ว่าร้ายใคร   อนูปะฆาโต    ต้องไม่ทำร้ายใคร     ปาฎิโมกเขจะสังวโร    ให้สำรวมในศีลของเราเองไว้     เรามี   ศีล    ๕   ศีล   ๘   ศีล   ๑๐   ศีล   ๒๒๗     ยังไงต้องระมัดระวังทุกสิกขาบทให้ดี    มัตตัญญุตาจะภัตตัสมิง  ต้องรับประทานอาหารแต่พอสมควร ไม่หลงในรสอาหารมากจนเกินไป กินอิ่มเกินไป ไม่พอเหมาะพอดีหรือว่าทรมานตัวเองเกินไปจนทำให้ร่างกายมันอ่อนเพลีย
               ปฎิบัติได้ไม่ลำบาก     มันต้องพอดีสำหรับตัวเอง    ปันตัญจะสะยะนาสะนัง นั่งนอนหรืออาศัยอยู่ในที่สงัด ก็คือเพื่อว่าจิตใจจะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปกับสภาพรบกวนที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะทิจิตเตจะอาโยโค  สร้างกำลังใจของเราให้มั่นคงอยู่ในความดีให้ได้ตลอด     แล้วท่านก็สรุปว่า  สัพพะปาปัสสะ   อะกะระนัง     ต้องละเว้นจากความชั่วทั้งทั้งปวง    กุสะลัส  สูปะสัมปะทา     ทำความดีให้ถึงพร้อม  สะจิตตะปะริโยทะปะนัง   ทำกำลังใจของเราให้เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ  เอตังพุทธานะสาสะนัง   ท่านบอกว่าพระพุทธเจ้าทุก  ๆ  พระองค์สอนอย่างนี้เหมือนกันหมด
               เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าหลักคำสอน     เราเอาแค่นี้แค่ว่า  ?ละเว้นความชั่วทั้งปวง    ทำความดีให้ถึงพร้อม   ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ?     แค่นั้นล่ะ    ถ้าจะไปสรุปปุ๊บปั๊บคนบางทีไม่ได้เริ่มต้นเลย   บอก   ?ไม่ประมาท   คำเดียวเป็นแก่นแท้?     ไม่ผิดหรอก   แต่มีหวังหงายท้องเลย   (หัวเราะ)   
       ถาม :    แล้ว   ทำดีได้ดี   ทำชั่วได้ชั่ว    นี่ไม่เกี่ยวใช่มั้ยครับ  ?
       ตอบ :  มันก็ใช่อยู่ แต่ว่าคำสอนที่จัดเป็นหมวดหมู่ขึ้นมาจริง ๆ ของท่านก็คือว่า สอนให้เราละชั่ว สอนให้เราทำดี สอนให้เราทำกำลังใจของเราให้มั่นคงเจริญก้าวหน้าในด้านดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
       ถาม :   แล้วหลักปฎิบัติของฆราวาสล่ะครับ    ที่ครองเรือนอยู่นี่  ?
       ตอบ :     ฆราวาสท่านบอกว่า   ให้มีสัจจะคือให้จริงใจต่อกัน     มีทมะ    มีความอดกลั้นต่อกัน    มีขันติต้องอดทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิตคู่      แล้วก็มีจาคะ   ต้องเสียสละต้องปันให้กันและกัน   ถ้าหากว่ามีทั้ง   ๔   ตัวนี้เราจะเป็นฆราวาสที่ครองเรือนอย่างมีความสุข
       ถาม :  ทีนี้อยากถามเกี่ยวกับมงคลครับ อย่างเช่น บางคนเขาบอกว่าต้องนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันออก หันไปทางทิศตะวันตกมันไม่ดี มันมีผลจริงหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :   อันนั้นถ้าหากว่าจิตใจของเรากังวลมันจะมีผล คือ ใจเราเศร้าหมองเองมันกลายเป็นตัว อโนมยา สำเร็จด้วยใจ เหมือนอย่างกับแช่งตัวเองอยู่ตลอด    สิ่งเหล่านี้เขาเถียงกันมานานเนเหลือเกินเเล้ว     ที่ท่านบอกว่า   พหูเทวมนุสสาจะมังคลานิ       อะจินตะยุง    อากังขะมานา   โสตะถานัง   พรูหิมัง    คละมุตตาะมัง   เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายต่างก็สงสัยในเรื่องของมงคลว่าสิ่งใดกันแน่เป็นมงคลที่แท้จริง
              ถึงกับเถียงกันมาเป็นช้านานก็เลยไปถามพระพุทธเจ้าดีกว่า พระพุทธเจ้าท่านสรุปมาให้นะ มงคลมีอยู่แค่ ๓๘ อย่างที่ท่านบอกขึ้น อะเสวนาจะพาลานังปันฑิตานัญจะเสวนา ก็คือ ไม่ให้คบกับคนพาล ๑ ให้คบแต่บัณฑิต ๑ บูชาบุคคลทีควรบูชา ๑ เห็นมั้ย ท่านจัดเป็นหมวด ๆ แล้วก็อยู่ในถิ่นที่เหมาะสมไม่ใช่ไปอยู่แต่ในดงโจรมันปฎิบัติดีก็คงจะยาก พวกนี้มันคอยเบียดเบียนอยู่เสมอใช่มั้ย ?
              มีบุญมาแต่ปางก่อน อันนี้ต้องรู้จักสร้างบุญข้ามชาติข้ามภพเลยบุญถึงจะหนุนส่งให้ รู้จักตั้งตนไว้ในทางที่ชอบ คือตั้งตนไว้ในทางที่ถูกที่ควร แล้วก็เป็นผู้ฟังมากรู้มากคือ ศึกษามาดีเป็นผู้ที่มีต้องใช้คำว่า เป็นผู้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี ท่านใช้คำว่า สิปปันจะ    ผู้มีศีลปะในการดำรงชีวิตไง    วินะโย     คือเป็นผู้มีวินัย    จะสุสิกขิโต    เป็นผู้ที่มีความเที่ยงตรง    อ่อนน้อมอยู่เสมออย่างนี้   
                ไล่ไปจนกระทั่งถึงท้าย  ๆ  เป็นการปฎิบัติของพระอริยเจ้า    ไล่ไปตั้งแต่  ตะโป     คือการบำเพ็ญตะบะ  พรัหมะจริยัญจะ     การรักษาพรหมจรรย์    อริยสัจจานะทัสสะนัง ทำพระอริยสัจให้เห็นแจ้งอย่างนี้ อันนี้ถ้าเห็นแจ้งก็กลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว รวมแล้ว ๓๘ อย่างอันนี้ถือเป็นมงคลที่แท้จริง มงคลที่เขาถืออย่างอื่นนั่นไม่ใช่มงคลที่แท้
       ถาม :   อย่างนี้เวลาทำงาน     โต๊ะจะหันไปทางทิศตะวันตก    จะหันไปทางทิศตะวันออก   จะหันไปทางทิศใต้ก็ไม่มีผล ?
       ตอบ :    คือถ้ากำลังใจของเรามั่งคง   สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบกับเราน้อยเต็มที ยกเว้นว่าคนโน้นทักเราก็กำลังใจตก คนนี้ทักกำลังใจของเราก็ฝ่อ ถ้าอย่างนี้ก็มีผลเพราะใจมันไม่ดีซะเล้ว แต่ถ้ากำลังใจมันดีทุกอย่างมันดีหมด
       ถาม :  แล้วอย่างเคยอ่านประวัติของหลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนไว้ว่าถ้าหันพระพุทธรูปไปทางทิศตะวันตก บูชาไปปีแรกมันจะดี ปี ๒ มันจะแย่ ทำไมมันมีผลอย่างนั้น ?
       ตอบ :  อันนั้นมันเป็นผลในลักษณะที่ว่า ผลร้ายอย่างอื่นมันไม่มียกเว้นแต่ว่าอย่างเดียวมันเก็บเงินไม่อยู่ มันจะมีในลักษณะที่เรียกว่าหามาเท่าไหร่มันก็มีเหตุให้ใช้ไป เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นผู้ละเอียดท่านช่างสังเกต ในเมื่อสังเกตได้เสร็จเรียบร้อยท่านก็ไม่ทำอย่างนั้นซะมันก็หมดเรื่องไป
              แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่มงคลแท้ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า เพราะถ้าหากว่ามัวแต่ถืออยู่เกิดทิศอื่นมันไม่มีจริง ๆ อย่างนี้มันไม่เหมาะไปหมด หันไปทางโน้นก็ส้วมหันไปทางนี้ก็ข้างฝา มันก็จำเป็นต้องหันไปด้านนั้น
       ถาม :   รวมถึงการตั้งศาลด้วยรึเปล่าครับ  ?
       ตอบ :    ก็ใช่    คราวนี้ว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในลักษณะที่หลวงพ่อท่านใช้คำว่า  ?สะดวก?    ก็คือว่า   ตามความเหมาะสมในตอนนั้น    ถ้าหากมันไม่ลำบากเกิดไปทำให้มันถูกต้องได้มันก็ดี     แต่ถ้าหากว่ามันลำบากมากก็ถือการสะดวกไปเลย
       ถาม :  แล้วอย่างที่สารทจีนคนเขาไหว้เจ้ากัน เขาไหว้เป็ด ไหว้ไก่ ไหว้เจ้าที่ อย่างคุณแม่ผมนี่ก็ชอบไปซื้อเป็ดเยาวราชเป็น ๆ ชี้ให้เขาทำเลยหลัง ๆ ก็เลยขอคุณแม่ แต่คุณแม่ก็บอกว่าเจ้าที่เขาชอบของสด
       ตอบ :    อันนั้นคุณแม่ชอบ    เจ้าไม่ได้บอก    สิ่ง ที่เขาทำยังไงก็เป็นเทวตานุสสติ คือการระลึกถึงความดีของเทวดาท่าน มันก็มีผลของมันอยู่ แต่ว่าขณะเดียวกันโทษของปานาติบาตมันก็มี มันต้องดูสิ่งที่เขาทำมันคุ้มมั้ย ? ถ้าหากว่าไม่คุ้ม มันก็กลายเป็นการลงทุนที่ขาดทุนอยู่ตลอด สิ่งที่เขาว่ามา จริง ๆ แล้วเจ้าหรือว่าเทวดาเข้าไม่ได้เรียกไม่ได้ร้องขอ อย่างนั้นมันเป็นความเข้าใจของตัวเอง ว่ามันต้องทำอย่างนั้นถึงจะดี ก็อยากจะให้ในสิ่งที่ดีที่สุด แต่บังเอิญว่าของท่านเองมันไม่ได้ยึดเกาะ
                 ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในจุดที่ต้องมีศีลธรรมมีอะไร    ไปเกาะคำสอนตามศาสนาของ ขงจื๊อ ซึ่งเป็นของจีนอยู่ เขาไม่ได้เน้นตรงจุดนี้ก็เลยกลายเป็นทำในสิ่งที่เป็นโทษไป ก็บอกแม่บอกว่าอย่าลงทุน ขาดทุนอยู่เรื่อยนะเดี๋ยวมันจะแย่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 29 เมษายน 2009, 20:41:55 »

http://grathonbook.net/book/16.6.html

ถาม :    ถ้าสมมุติว่าผมไปคิดว่าถ้าเป็นรุ่นผม   ผมจะซื้อไก่    KFC  บ้างไก่ย่างที่เด็ก  ๆ   ชอบนี่ไหว้ได้มั้ยครับ  ?
       ตอบ :  ได้เทวดาท่านไม่ค่อยได้เลือกหรอก ยกเว้นว่าองค์ไหนท่านจะมีสัญลักษณ์ที่คล้าย ๆ กับว่าท่านขอในสิ่งนั้น ให้คนรู้ว่าเป็นท่านอย่างนั้นต้องหาให้ท่านเฉพาะ แต่ว่าสิ่งที่ท่านขอส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นจะพิลึกพิลั่นพิศดารอะไร อย่างเช่นว่า มีบ้านหนึ่งเจ้าของเจ้าที่เขาเป็นเสาตกน้ำมัน เขาขอไข่ต้มฟองหนึ่งซึ่งมันก็หาไม่อยากใช่มั้ย ? แต่ถ้าหากว่าเป็นอาตมา รุ่นอาตมาเนี่ยเลิกไหว้เลย ถวายสังฆทานให้ท่านแทน รู้สึกชอบใจมากกว่า
       ถาม :  เพราะว่าก็บอกล่วงหน้าว่าไก่ต้ม เด็ก ๆ ก็ไม่มีใครกิน ทำเสร็จก็ต้องไปทิ้งไปแจกเขา ทำไมไม่ทำพวก ไก่ย่าง ไก่ KFC ล่ะ เด็ก ๆ จะได้กินได้ ?
       ตอบ :  (หัวเราะ)    มันจะกลายเป็น   เรานอกคอกไป
       ถาม :    ใช่ครับ   ก็เลยถามจริง  ๆ  ว่ามีผลหรือไม่มีผล    คราวหน้าเป็นใหญ่ขึ้นมาจะทำเอง  ?
       ตอบ :  คือว่า เรื่องของการบูชาท่าน ถ้าท่านไม่ได้มาเรียกร้องด้วยตัวเอง เราเอาอะไรบูชาท่านก็รับทั้งนั้น เพราะว่ามันเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพของเรา
       ถาม :    แล้วที่ไปไหว้ต้นไม้ขอหวยบ้าง   ไปขัดอะไรบ้าง  ?
       ตอบ :  อันนั้นมันต้องมีบุญเก่าเสริมด้วย ถ้าไม่มีบุญเก่าจริง ๆ ขัดให้ตายมันก็ได้อะไรมาก็ไม่รู้ แต่สังเกตมั้ยว่า ต่อให้มันขัดออกมาเหมือน ๆ กัน คนตีความมันก็คนนี้ถูกมั่งคนนั้นไม่ถูก มันต้องตัว ทานบารมี เก่าที่ทำมาเป็นของเสริม ไม่งั้นก็ไม่ได้
       ถาม :    แล้วอย่างที่เขาว่าไหว้เทพเจ้าองค์นั้นจะรวยจริง   อย่างนี้มีผลอย่างนั้นจริงมั้นครับ  ?
       ตอบ :  มันต้องอยู่ในลักษณะอย่างของพระสีวลี พระสีวลีท่านเป็นผู้เลิศในลาภ เป็นพระที่เป็นเอตทัคคะ คือยอดเยี่ยมในลาภ คราวนี้ ท่านเข้านิพพานไปแล้วกุศลตรงจุดนี้ไม่ได้ใช้แล้วที่นั่น ใครบูชาท่านตัวกุศลตัวนี้ก็หนุนเสริมให้ด้วย แต่ว่าสำหรับผู่อื่น อย่างเช่นว่า องค์นั้นมีลาภดี องค์นี้มีลาภเยอะมันก็อยู่ในลักษณะที่ว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มต้นการสร้างบารมีจากทานบารมี
              ในเมื่อสร้างทางบารมีมาเวลาเราไปขอให้ท่านช่วยต้องดูด้วยว่าเราขาดเยอะมั้ย ? ถ้าเราขาด ๘๐% ท่านก็ช่วยเราไม่ไหว แต่ถ้าเราขาด ๑๐ % ท่านช่วยได้ ก็หมายความเราเองต้องทำมาด้วยในจำนวนที่มากพอ สมมุติว่ามันเต็มแค่นี้ใช่มั้ยของเรามีอยู่แค่นี้ท่านเติมให้มันเต็มได้ ให้ยืมใช้ก่อน แต่ต้องมีข้อแม้ว่าอาจจะต้องแก้บน แก้บนนี่คือลักษณะการว่า เราต้องทำบุญอะไรเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนพอถึงเวลาเราทำไปมันเติมส่วนนั้นของเราเต็มพอดี
               เพราะฉะนั้นท่านก็ช่วยให้เราก่อนได้   แต่ถ้าเราขาดเยอะนี่ขอให้ช่วยทั่วประเทศก็ไม่มีใครเขาช่วยได้หรอก
       ถาม :     แล้วถ้าเขาไหว้กันแล้วเราไม่ไหว้ล่ะครับเราเฉย  ๆ   นี่  ?
       ตอบ :  ก็อย่าไปลบหลู่ แล้วก็ขณะเดียวกันว่าอย่าไปแสดงออกในลักษณะคัดค้าน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เขามีผลจริงก็มีอยู่ ถ้าหากว่าเราไม่ได้รู้จริงแล้วเราไปคัดค้านแล้วมันลำบากตัวเราเอง
       ถาม :  เวลาผมนั่งสมาธิถ้าเพ่งองค์พระมากไปนาน ๆ บางทีก็หลับไปเลย ถ้าผมจะฝืนไม่ให้หลับนั่งไปซักชั่วโมงกว่านี่ นั่งไปเรื่อย ๆ มันรู้สึกว่าเวียนศีรษะครับ ?
       ตอบ :  บางทีของเรามันใช้สายตามากเกินไปใช้ความตั้งใจมากเกินไป ลักษณะเพ่งก็คือจิตใจจดจ่อไว้ไม่ใช่ลูกกะตา เรามองรูปพระนึกภาพนั้นไว้ หลับตาลงนึกถึงภาพมันจะนึกได้ชั่วครู่แล้วเสร็จแล้วพอหายไป เราก็ลืมตาดูแล้วก็มองสบาย ๆ นี่แล้วหลับตาลงแล้วก็นึกถึงไว้ พอหายไปก็ลืมดูใหม่ทำลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ไปจ้องให้ติดตาไม่ใช่ เขาให้จำติดใจ พอถึงเวลานี่หลับตาหรือลืมตาเรานึกได้ชัดเจนเสมอกัน อันนั้นก็เริ่มเป็นตัวอุปจารสมาธิ
       ถาม :   และจำเป็นต้องไว้ในท้องไหมครับ  ?
       ตอบ :  แล้วแต่เรา   ถ้าหากว่าฝึกใหม่   ๆ   ก็เอาไว้ข้างนอกนั่นแหละ   พอเรามีความชำนาญเสร็จจะไว้ส่วนไหนของร่างกายก็ได้
       ถาม :    มีผลเหมือนกัน  ?
       ตอบ :  มีผลเหมือนกัน    จะไว้ข้างใน  ไว้ข้างนอก    จะไว้อย่างไรก็ได้ 
       ถาม :    เห็นทางธรรมกายเขาบอก   เอาเข้าไปลึกเลย    เอาจิตซ้อนแล้วซ้อนอีก
       ตอบ :  (หัวเราะ)   ลักษณะนั้นมันเป็นการที่เรียกว่าให้จิตมันดิ่งลึกเข้าไปสู่สมาธิขั้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ พอเต็มที่ครบจนกระทั่งถึงธรรมกายก็คือ ฌาน ๔
       ถาม :   ฌาน   ๔   เลยเหรอ  ?
       ตอบ :  พอเริ่มเป็นดวงปฐมมรรค   ก็เริ่มเป็นอุปจารสมาธิ
       ถาม :   แล้วสมมุติผมเคยนึกเพ่ง   พอนึกไม่นออกมาก  ๆ   ไปเพ่งนี่เครียด   บางทีท้องแข็งรู้สึกปวดท้อง
       ตอบ :  เราก็เลิกซิ     คลายอริยาบถออกมาทำอย่างอื่นไปก่อน   พอรู้สึกว่ามันดีแล้วก็ค่อยไป
       ถาม :  แล้วถ้านั่งทำจิตว่าง ๆ เฉย ๆ ไม่คิดอะไรเลยแล้วมีความรู้สึกว่าพยายามจะให้รู้สึกมีสติตลอดเวลาอย่างนี้ใช้ได้หรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :   ก็ใช้ได้อยู่   เพราะจริง   ๆ  แล้วต้องการให้มีสติอยู่เฉพาะหน้าแบบว่า  ทำใจให้เฉย  ๆ   นั่นบางทีมันเฉยแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร    เราใช้สติรู้รอบในลักษณะคอยระวังไม่ให้นิวรณ์มันกินใจเราจะได้ประโยชน์มาก     คอยดูเอาไว้ว่าใจเราความชั่วมันเกิดขึ้นมั้ย  ?   ตัวฉันทะ   คือความพอใจ   เราใช้คำว่า  กามฉันทะ    พอใจระหว่างเพศมีมั้ย ?   
                แล้วก็ปฎิฆะ ตัวกระทบกระทั่งอารมณ์ใจของคนอื่นมีมั้ย  ?    อุทธัจจะ   ความฟุ้งซ่านมีมั้ย  ?   อย่างนี้   ตัววิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฎิบัติของเรามีมั้ย ? จริง ๆ ก็คือว่าให้ใจเรารู้อยู่กับลมหายใจเข้า ? ออกตลอดเวลา ถ้าใจมันอยู่กับลมหายใจเข้าออกนี่ตัวอื่นกินยาก
       ถาม :  ก็เคยเหมือนกันครับ เวลาดูลมหายใจ พอดูไป ๆ เหมือนกับลมหายใจนี่มากขึ้นทั้ง ๆ ที่เราหายใจออกปกติ แต่มันเหมือนกับว่าเราอัดลมเข้าไปเยอะน่ะครับ ?
       ตอบตามรู้ไว้เฉย  ๆ  มันจะเป็นยังไงเรื่องของมัน   คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่   ถึงมันตายตอนนี้เราก็ไปดีอยู่แล้ว อาการลักษณะนั้นมันเป็นการทดสอบเรานิดเดียวเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปใส่ใจมัน แล้วกำลังใจเรามันก็คลายตัวลงมาหรือไม่ก็ตกใจเลิกไปเลย กลายเป็นว่ากำลังจะดีแล้วก็ห่างออกไป
       ถาม :    แล้วก็อานิสงส์ของคำภาวนา   เช่นว่า   พุทโธ    นะมะพะธะ    สัมมาอะระหัง    มีอานิสงส์ต่างกันหรือเปล่า  ?
       ตอบ :  มันมีผลต่างกัน    อย่างเช่น   คำภาวนาเฉพาะอย่าง  นะมะ พะธะ    สำหรับผู้ฝึกมโนมยิทธิจะใช้กำลังของพระพุทธเจ้า   ๕   พระองค์  ท่านช่วย ซึ่งอันนี้มันเป็นสิ่งที่ท่านให้พรเอาไว้ ถ้าหากว่าใครภาวนามันก็เหมื่อนเป็นสัญญาณบอกฝ่าย ว่าเป็นพวกเดียวกันแล้วก็ต้องการความช่วยเหลือ ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ ก็จะมีความคล่องตัวมากกว่า
              แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าหากว่าเรื่องอานิสงส์ทางด้านอื่น ๆ นี้ ถ้าหากไม่ใช่เป็นการระบุเฉพาะแล้ว ถึงเวลาถ้าหากภาวนาไปอารมณ์ใจทรงตัวเป็นฌานมันก็เท่ากัน แต่ถ้าเป็นการระบุเฉพาะมันก็จะต่างกัน
       ถาม :    ถ้า  นะมะ พะธะ   นี่อานิสงส์พระพุทธเจ้า   ๕   พระองค์  ทำไมไม่ท่อง   ?นะโมพุทธายะ?   ไปเลย  ?
       ตอบ :  จริง  ๆ  แล้ว   นะโมพุทธายะ   นั่นถ้าเวลาภาวนาเขาจะปิดหน้าอยู่แล้ว   อันนั้น   นะมะ   พะธะ ตัวนี้มันจะเป็น พะ ธะ เขาจะใช้ พ. พาน ธ. ธง นะมะ ก็คือ นะโม พะธะ ก็คือ พุทโธ (หัวเราะ) มันไม่ใช่ นะมะพะทะ     ที่เป็นตัวธาตุ   ๔    นั่นมัน   ท.  ทหาร    ถ้าหากว่าเป็นตัวขอมมันจะเขียนคนละตัวกัน

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 30 เมษายน 2009, 20:15:56 »

http://grathonbook.net/book/16.7.html

ถาม :    เรื่องของไหว้เจ้า     ถ้าเราเอาของพระพุทธแล้วไปถวายพระสงฆ์ได้หรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ได้ แต่ไหว้เจ้าแล้วก็ถวายได้ รีบ ๆ ถวายด้วยถ้าช้าแล้วเลยเพลเดี๋ยวจะอด ถวายได้ ส่วนใหญ่เขาถือว่าผีกินแล้วไม่ควรถวายพระมันไม่เกี่ยวกัน ขอให้เป็นอาหารเท่านั้น พระรัฐบาล   ท่านเป็นพระอรหันต์แท้   ๆ   ท่านฉันขนมบูดหน้าตาเฉย      พระพุทธเจ้าเอง    นางบุญทาสี    เอาโรตีเหน็บชายพกมาถึงเวลาเดินผ่าน    ท่านอยากจะถวายท่านก็ควักชายพกออกมาถวาย 
                 พระพุทธเจ้ารับแล้วก็นั่งฉันตรงนั้นล่ะ    พระที่ แท้จริงท่านต้องการอาหารเพื่อยังชีพเท่านั้น ท่านไม่เลือกหรอกว่าเป็นอาหารเก่าอาหารใหม่ หรือว่ามันจะเป็นของเหลือเดนแล้ว หรือว่าอะไรขอให้มีก็พอ    อย่าลืมว่าทานมันมีทั้ง ทาสทาน สิ่งที่ต่ำกว่าที่เรากินเราใช้   สหายทาน ที่เสมอเรากินเราใช้  สามีทานสิ่งที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้อันไหนที่ให้ไปเขาเรียกว่าทานเหมือนกัน
       ถาม :   แล้วอานิสงส์เหมือนกันมั้ยครับ ?
       ตอบอานิสงส์ถ้าหากว่าทำในสิ่งที่ดีกว่า   ถึงเวลารับมันก็รับในสิ่งที่ดีกว่า   แต่อย่าลืมว่าขอให้เราได้ทำอานิสงส์มันจะมี   อย่างอานันทเศรษฐี ท่านเป็นมหาเศรษฐีนะ อย่าลืมมหาเศรษฐีมีทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฎิ สมัยนี้มันน่าจะประมาณ ๘ พันล้านพอมั้ยล่ะ ? แต่ว่าท่านใช้ของใหม่ไม่ได้ เสื้อผ้านี่ก็ให้คนอื่นเขาใช้ซะหน่อยหนึ่งแล้วตัวเองถึงใช้ได้ กินข้าวก็กินข้าวเต็มเม็ดไม่ได้ต้องกินข้าวหักอย่างนี้ เพราะว่าท่านทำบุญในลักษณะ ทาสทาน คือเอาของเหลือจากตัวเองกินตัวเองใช้แล้วไปให้ทาน แต่ว่าผลของท่านมันมีอยู่แล้ว ๆ ก็ได้ทำทานใหญ่มาเป็นมหาเศรษฐี ในเมื่อเป็นมหาเศรษฐีเสร็จแต่ว่าอานิสงส์มันต่ำกว่าคนอื่นอยู่นิดหนึ่งตรง ที่ว่าต้องให้คนอื่นเขาเหลือตัวเองถึงจะได้ (หัวเราะ)
       ถาม :  แล้วสมมุติว่าวันนี้ผมแกงไปหม้อใหญ่ ๆ แล้ววันนี้เรากินแล้วพอดีแกงตอนเย็นแล้วตอนเช้าเห็นพระสงฆ์มา เราตักแกงนี้ใส่บาตรได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ได้ เพราะจริง ๆ ที่มันเหลือเดนเราจริง ๆ แล้วก็คือเรากินในหม้อนั้นเลย แต่ของเราเองส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีใครกินในหม้อขนาดนั้น เราก็ตักแบ่งออกมาทั้งนั้น อันนั้นก็ถือว่าจริง ๆ แล้วมันก็ยังเป็นของใหม่อยู่เหมือนเดิม
       ถาม :    ถ้าอย่างนั้นจะถือว่าเป็นสามีทานหรือเป็นอะไร  ?
       ตอบ :  เรียกว่าเป็นสหายทาน     ให้ในสิ่งที่เหมือนกับเรากินเราใช้
       ถาม :  แล้วอย่างตอนเช้าผมไปใส่บาตร มันจะมีร้านใส่บาตรอยู่หลายร้าน ร้านหนึ่งชุด ๒๑ ร้านหนึ่งชุด ๓๐ บาทอะไรต่าง ๆ นี่มีอานิสงส์เหมือนกันมั้ยครับ ?
       ตอบ :  อันนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันตรงไหนหรอก    ให้เลือกเอาสิ่งที่เราชอบ    เลือกในสิ่งที่เราชอบ   อย่างเช่น   อาหารชุดนี้เราชอบใช่มั้ย  ?   ดอกไม้ชนิดนี้เราชอบอย่างนี้     ถ้าเราชอบอันไหนอันนั้นก็คือดีสำหรับเรา   ในเมื่อดีสำหรับเรา  ๆ  ตั้งใจถวายไปก็เป็นสิ่งที่ดีที่เรามีอยู่
       ถาม :   แล้วเกิดบางร้านเขาไม่ถูกกับพระแล้วบอกว่า     ร้านนี้ของไม่อร่อย
       ตอบ :  อันนั้นมันเรื่องของพระแล้ว    ไม่ใช่เรื่องของเรา  (หัวเราะ)    เพราะว่าพระเขาบังคับอยู่แล้วว่าห้ามติดรส
       ถาม :  อย่างนี้ถ้าเราใส่ก็มีผลเหมือนกันใช่มั้ยครับ  ? 
       ตอบ :  ก็มีผลเหมือนกัน โดยเฉพาะไปซื้ออาหารเขาสบาย สมัยก่อนทำเองบางทีทำไปเหนื่อยแล้ว อารมณ์เสียแล้ว ที่ซื้อเขามามันรักษารักษาอารมณ์ได้ พอรักษาอารมณ์ได้ทำไปมันได้เปรียบคนอื่นเขา อารมณ์ใจมันดีทำบุญทำทานอะไรไปดีนะ ถ้าหากว่าวัตถุทานบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์นี่ อานิสงส์มันเต็ม ๑๐๐ % ยิ่งกำลังใจของเราดีเท่าไหร่ อานิสงส์ของเราดีเท่านั้น สมัยนี้บางคนเขาบอกมันเหมือนกับได้บุญไม่เต็มที่ไปซื้อของที่เขาทำอย่างนี้ ความจริงทำอย่างงั้นน่ะดีไม่เหนื่อยด้วย ในเมื่อไม่เหนื่อยกำลังใจมันไม่เศร้าหมองใช่มั้ย ? สบายกว่าเยอะเลย
       ถาม :   แล้วอย่างนี้   อย่างผลไม้อย่างมังคุดนี่มีผลยังไงมั้ยครับ  ?
       ตอบ :  ไม่มี นี่ยังคิด ๆ อยู่นะว่าสักวันหนึ่งจะเอามังคุด เอาละมุด เอามะไฟ เอาระกำอะไรไปถวายพระซักที ส่วนใหญ่มันของอร่อยด้วยนะ พระไม่ได้ฉันเลยเพราะมันกลัว (หัวเราะ) เอาไปถวายทีพระคงชอบใจน่าดู
       ถาม :  การใส่บาตรพระกับเณรนี่อานิสงส์เหมือนกันหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบ :  ใส่พระจะอานิสงส์สูงกว่าเพราะว่าเณรศีลน้อยกว่าพระเยอะ     เณรศีล  ๑๐   เท่านั้น   พระศีล   ๒๒๗   แต่ต้องดูให้ดีนะ    ถ้าหากว่าเป็นพระที่สักแต่ว่าเป็นพระคือบวชมาแล้วศีลไม่มีหรือศีลไม่ครบนี่สู้เณรไม่ได้    เณรศีลบริสุทธิ์จะมีอานิสงส์มากกว่า ก็เลยต้องบอกว่า เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ มันก็อยู่ที่ผู้รับแล้ว ถ้าพระต้องสังฆาทิเสสหรือปาราชิกไปเรียบร้อยแล้วสู้เณรไม่ได้
       ถาม :   อย่างนี้แล้วเราก็ไม่รู้ผลที่เราทำไป   อาจจะไม่ได้ผลเลยก็ได้ ?
       ตอบ :  จริง  ๆ  แล้วหลวงพ่อท่านถึงได้สอนให้ตั้งใจให้ถวายเป็นสังฆทาน   ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเณรก็ตาม   มีส่วนทั้งนั้น
       ถาม :   เป็นสังฆทานนี่ดี  ?
       ตอบแต่ถ้าเป็นสังฆทานนี่ผู้รับถึงไม่บริสุทธิ์ก็ ไม่เป็นไร เพราะอันนั้นเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น สังฆะ คือหมู่สงฆ์เขาเป็นตัวแทนของหมู่สงฆ์เท่านั้น อานิสงส์ของเราเต็มที่ให้ตั้งใจเป็นสังฆทาน
       ถาม :    แล้วต้องกี่องค์ครับ  ?
       ตอบ :  องค์เดียวก็ได้ ทำไมสังฆทานองค์เดียวก็ได้ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาว่า ๔ คือว่าเราอย่าไปเจาะจงว่าพระองค์นั้นมา หลวงตาองค์นั้นมาเณรองค์นี้มา แล้วเราจะใส่ ให้ตั้งใจว่าองค์ไหนมาเราใส่ทั้งนั้น   ถ้าอย่างนั้นใส่องค์เดียวก็เป็นสังฆทาน
       ถาม :  ถ้าอย่างนั้น   ไปนิมนต์หลวงพ่อฤๅษีลิงขาว   ลิงเล็กมา   ?
       ตอบ :  (หัวเราะ)   เจ้าพระยามหากษัตริย์ท่านยังไม่ทำเลย   อย่างเราขืนไปทำมันจะเวอร์เกินไป
       ถาม :  ที่เขาเเยกวิญญาณ ที่เขาเสกที่ว่าเสกหุ่ยยนต์เสก.......(ไม่ชัด).....ที่เขาบอกเนรมิตขึ้นมา ได้เปรียบเสมือนโคลนนิ่งปัจจุบันหรือเปล่า ?
       ตอบ :  ไม่ใช่ คนละอย่างกัน ถ้าเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ก็คือ การเปลี่ยนโมเลกุลจัดเรียงโมเลกุลใหม่ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้ศึกษาฟิสิกส์พื้นฐานมาหรือเปล่า ลักษณะของการเรียงโมเลกุลของแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกันทำให้วัตถุธาตุมัน ต่างกัน อันนั้นของเขาหยิบขึ้นมาปุ๊บแค่ต้องการให้มันเป็นก็จัดการเรียงโมเลกุลใหม่ กลายเป็นอีกอย่างหนึ่งไปเลย
       ถาม :  แต่ว่าจำนวนโมเลกุลหรือจำนวนอะตอม  ?
       ตอบ :  มันต่างกันก็ตรงนี้แหละ มันเป็นสูตรสำเร็จเลยก็คือใจสั่งให้เปลี่ยนมันเปลี่ยนได้เลย แต่ว่าของทางวิทยาศาสตร์นี่ ถ้าหากว่าจำนวนมันต่างกันอะไรมันต่างกันไปไม่ได้ ถึงได้บอกถ้ามันจะเปรียบมันเปรียบเหมือนกับการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลซะ ใหม่

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2009, 17:41:57 »

http://grathonbook.net/book/16.8.html

ถาม :    แล้วการโคลนนิ่งคนขึ้นมานี่  ?
       ตอบ :  มันได้แต่เปลือก     สภาพจิตที่มาปฎิสนธิมันต่างกัน    หน้าตาเหมือนกันความประพฤติก็ต่างกัน
       ถาม :  แล้วจิตที่มาปฎิสนธินี่เป็นยังไงครับ   เป็นตัว...?   
       ตอบ :  ก็คือที่รอเกิดอยู่นั่นล่ะ  ?
       ถาม :   รอเกิดเหมือนกับเด็กในท้องเหรอ  ?
       ตอบ :  ใช่ มันมาถึงมันก็มีที่เกิด เพียงแต่ว่าเกิดมามีหน้าตาเหมือนกัน แต่รับประกันซ่อมฟรีไอ้ที่จะประพฤติเหมือนกันนี่ร้อยละสิบก็หายาก
       ถาม :    แต่ที่มาเกิดแบบนี้นี่จะเป็นวิญญาณที่ดีหรือเปล่าครับ  ?
       ตอบก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ถ้าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีดวงวิญญาณจิตที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลก็มาเกิด ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่สถานที่ไม่ดี ก็อันที่เขาทำความชั่วไว้เยอะ ถึงเวลาก็ชดใช้หนี้กรรมอันนั้นเศษกรรมยังเหลืออยู่เขาก็มาเกิด ดูสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ใช่หมายความว่าจะหมือน ๆ กันหมด โคลนนิ่งเด็กขึ้นมา... สมมุติว่าคู่หนึ่งอย่างนี้ คนหนึ่งขอไปเลี้ยงภาคเหนือ อีกคนขอไปเลี้ยงภาคใต้ มันคนละโลกกันแล้ว สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มันก็ต่างกันไปลิบโลก
       ถาม :   ในอนาคตนี่เด็กโคลนนิ่งเยอะมั้ย  ?
       ตอบ :  ก็ไม่รู้เหมือนกัน    เคยได้ยินมั้ยที่เขาบอกสมัย พระศีรอารียเมตไตรย์ คนเราจะสวยเหมือน ๆ กัน ถ้าลงจากเรือนไปจำสามีภรรยาไม่ได้จนกว่าจะกลับบ้านตัวเอง ลักษณะนี้มันโคลนนิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะมันเหมือนกันไปหมด (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? อีกตั้งเป็นล้านปีนี่ เทคโนโลยี่มันน่าคิดเหมือนกันนะ
       ถาม :   คนสวยเหมือนกันหมด  ?
       ตอบ :  สวยเหมือนกันหมด   ลงจากบ้านนี่จำคู่สามีภรรยาตัวเองไม่ได้จนกว่าจะกลับขึ้นบ้านแล้ว
       ถาม :   เพราะอย่างนั้นทางวิทยาศาสตร์ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ต่างดาวรึเปล่า
       ตอบ :  (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วมีส่วนเหมือนกันนะ อัจฉริยบุคคลไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ จนป่านนี้ไอสไตน์คนที่ ๒ ยังไม่มาเลยนี่ มันไอซะตายเลย
       ถาม :  แล้วอย่างไอสไตน์นี่ท่านคิดระเบิดปรมาณูมานี่ท่านบาปมั้ยครับ  ?
       ตอบคิดไม่บาป    ทำก็ไม่บาป   เอาไปใช้น่ะบาป    ยกเว้นว่าท่านคิดขึ้นมาโดยเจตนาว่าจะให้ไปฆ่ากัน    คุณมีส่วนแน่นอน แต่ว่านั่นคิดขึ้นมาในลักษณะที่ว่าสูตรสัมพันธภาพของเขา ลักษณะอย่างนี้มันต้องให้พลังงานอย่างนี้ พอปฎิกิริยาลูกโซ่อย่างนี้ มันต้องมีพลังงานเท่านี้ อะไรมันเหมือนอย่างกับลับสมองตัวเองดี ๆ นี่เองเพียงแต่มันไปได้ประโยชน์สำหรับคนส่วนหลังเท่านั้นเอง
       ถาม :  แล้วอย่างที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู    ท่านจะรู้เรื่องสูตรพวกนี้หรือเปล่า  ?
       ตอบ :  รู้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ท่านไม่ได้สอน ที่มันมีพระสูตรอยู่พระสูตรหนึ่งที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากป่าประดู่ลายมา กำใบประดู่ลายมา ๑ กำมือ แล้วตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในป่ากับใบประดู่ในมือของตถาคตอันไหนมากกว่ากัน พระท่านก็ทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่านั้นมากกว่าจนประมาณมิได้พระพุทธเจ้าข้า
              พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตสอนต่อพวกเธอคือใบประดู่ ๑ กำมือแต่สิ่งที่ตถาคตรู้คือใบประดู่ในป่า ท่านรู้ทุกเรื่องจริง ๆ ดร.  อาจอง ออกแบบยานลูน่าโมดุล ลงดวงจันทร์ได้ในชนิดที่ฝรั่งเขายอมรับประสิทธิภาพ เขานั่งสมาธิถามจากพระ (หัวเราะ) ง่ายดีมั้ย ? เพราะฉะนั้นคำว่า สัพพัญญู แปลว่า รู้รอบ นี่รู้จริง ๆ รู้ทุกเรื่อง
       ถาม :   แล้วพระพุทธเจ้าที่ต่างกัน .....(ไม่ชัด)....?
       ตอบ :  อันนั้นอยู่ที่บริวารท่าน    คือพระพุทธเจ้าที่เป็นปัจเจกพุทธ คือว่าเป็นผู้ที่ต้องการรู้เอง ท่านจะสร้างบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนมหากัป มีความสามารถคล้ายพระพุทธเจ้าทุกอย่างยกเว้นขาดสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารของท่านจะประเภทมีดี มีเลว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ปนเปกันไปหมด พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะสร้าง บารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารท่านจะดี สวย รวยเสมอกันหมด ในเขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้ามาไม่ได้ ส่วนพระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะ สร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อยนั้น บริวารท่านนอกจากจะดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ ท่านทำเพื่อบริวารตัวเองถึงได้ยอมลำบากขนาดนั้นจริง ๆ ถ้าสำหรับตัวท่านเอง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็สบายมาก ๆ แล้ว
       ถาม :  แล้วถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะคนเหมือนกับเทวดามั้ยครับ     
       ตอบ :  ก็คล้าย  ๆ   กันเลยตามที่เขากล่าวในอนาคตวงศ์ที่สมัย พระศรีอาริยเมตไตรย์ คนจะเดินทาง ถ้าไปทางน้ำจะไม่มีทางทวนน้ำนะ พอลงเรือปั๊บคว้าพายน้ำมันก็พาไหลไปเลย พอถึงเวลาจะกลับมันก็พาไหลกลับ เพราะปกติแล้วมันต้องทวนกลับใช่มั้ย ? อันนี้ไม่หรอก น้ำมันพาไหลกลับอันนั้นมันเป็นกำลังบุญของเขา อยากได้อะไรไปสอยเอาจากต้นกัลปพฤกษ์ ๔ มุมเมืองก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหากิน ขาดเสื้อก็ไปสอยเอา ขาดอาหารก็ไปสอยเอา
       ถาม :    พออย่างนี้ผมนึกถึงยานอวกาศนึกถึงอะไรเครื่องจักรคอมพิวเตอร์   ทีมีตรงกลางขึ้นมา  ?
       ตอบ :  นั่นน่ะ ลักษณะนั้นเพราะว่าอย่างมนุษย์ต่างดาวบางดวงสมัยเด็ก ๆ อาตมานึกถึงวัว ก็แหม มันเสียเวลาให้วัวมันกินหญ้าเข้าไปแล้วก็ไปย่อยสลายกว่าจะออกมาเป็นนม ทำไมเราไม่คิดเครื่องมือบางอย่างที่มันสลายหญ้าให้เป็นนมไปเลย อย่างเช่นว่า พอถึงเวลาบดหน้าให้ละเอียดแล้วเอาเข้าไปตีผสมในห้องหนึ่ง ซึ่งมันจะมีเชื้อจุลินทรีย์มีอะไรที่มันจะย่อยสลายเสร็จเรียบร้อย
       ถาม :  พอกลั่นผ่านมาอีกห้องหนึ่งก็ออกมาเป็นนมเลย ต่างกับมนุษย์ต่างดาวมันทำได้จริง ๆ มันทำได้มากกว่าที่อาตมาคิดอีก มันสามารถจะเปลี่ยนโมเลกุลจากพืชผักกลายเป็นโมเลกุลของโปรตีนไปเลย พอถึงเวลามันตั้งโปรแกรมไว้ใส่เข้าไป จะกินไก่ก็กดโปรแกรมไก่ก็ออกมาแล้ว ถึงเวลาจะกินหมูใส่เข้าไปกดโปรแกรมหมูก็ออกมาเป็นหมู เราก็นึกว่าเราคิดบ้า ๆ อยู่คนเดียว แต่ว่ามันทำได้จริง ๆ ต่างดาวบางดวงเขาทำได้ เพราะฉะนั้นมันอาจจะลักษณะนั้นก็ได้
       ถาม :   งั้นพวกต่างดาวเขาก็มีบุญน่ะซิครับ  ?
       ตอบ :  ใช่ เขาประกอบไปด้วยบุญมาก เพราะว่าบางดวงดาวเขาไม่ต้องใช้พาหนะเลย ไปไหนเขาไปในลักษณะลอยไปเหมือนกับเหาะไปแล้วเรื่องของข้าวปลาอาหารก็ไม่ต้อง เสียเวลาไปกักไปตุนไปอะไร มันจะมีข้าวที่งอกขึ้นมาเป็นต้นแล้วมีเมล็ดเลยไม่มีเปลือก ถึงเวลาก็ไปรูดมาใส่หม้อเฉย ๆ เทน้ำใส่ไป ไม่ต้องหุงต้องต้ม ไปตั้งบนก้อนแก้วรัตนมณีมันก็สุกของมันเอง ลำบากแค่หาข้าวอย่างเดียว กับข้าวนึกอยากจะกินอะไรแค่นึกมันก็โผล่มา
       ถาม :    คล้าย  ๆ   เทวดา  ?
       ตอบ :  คล้าย  ๆ  เลยล่ะ    เพียงแต่ไม่ดีพอที่จะเป็นเทวดา   แต่ก็ดีเกินว่าที่จะมาอยู่กับพวกเรา
       ถาม :    แต่ก็ไม่ใช่เทวดา  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่เทวดา    เป็นมนุษย์นี่แหละแต่ว่าเรื่องของบุญของเขามันบุญจริง  ๆ   ใช้คำว่ายังไงล่ะ   บุญญฤทธิ์    ฤทธิ์ที่เกิดจากบุญ 
       ถาม :    แล้วถ้าเกิดวิทยาการก้าวหน้า   เขาสามารถข้ามมิติเข้าไปอยู่เมืองเทวดาจะได้มั้ยครับ  ?
       ตอบ :  มันยังไม่ปรากฏ    แต่ไปดาวอื่นนี่มาที่เราหรือไปที่ไหนนี่ไปได้สบาย
       ถาม :    เพราะว่าผมอ่านพระไตรปิฎกจะมีว่าพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพระมหาจักรพรรดิบางชาติที่สามารถขึ้นลงสวรรค์ได้  ?
       ตอบ :  อันนั้นก็อย่าง พระเนมิราช อันนั้นอย่าลืมว่านั่นเป็นเทวานุภาพคือ เทวดาเขามารับไปหรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาอย่างพระภิกษุหรือผู้ ปฎิบัติที่ได้อภิญญา สามารถยกกายเนื้อขึ้นไปบนโน้นได้เลย มันเป็นกำลังของอภิญญาที่ค้ำเอาไว้ ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปไม่ถึงหรอกตายซะก่อน
       ถาม :   ถ้าอภิญญามีผลใหญ่อย่างนี้นะครับ   ทำไมเวลาเกิดสงครามทำไมพระอรหันต์ท่านไม่ห้ามล่ะครับ  ?
       ตอบ :  ไม่ต้องพูดถึงพระอรหันต์หรอก   แค่ฌานโลกีย์ธรรมดา   ๆ   เขายังไม่ยุ่งด้วยเลย  บุคคลที่จะใช้อำนาจของอภิญญาได้เต็มที่ต้องเป็นผู้ที่ยอมรับกฏของกรรม ถ้าไม่ยอมรับกฏของกรรมไปฝืนเมื่อไหร่ มันได้ครั้งเดียวแล้ววิชามันก็เสื่อม เพราะฉะนั้นที่ฝึกไปแทบเป็นแทบตาย ได้มันก็เหมือนกับไม่ได้ อะไรก็ตามที่คุณจำเป็นต้องรับกฏของกรรมจำเป็นต้องทำสภาพร่างกายมนุษย์ทั่ว ๆ ไปคุณต้องทำไปก่อน ไม่ใช่ว่าได้แล้วกูจะเอาสบายนึกไปตรงโน้นปึ๊บเดี๋ยวกูก็ไปอย่างนั้น ยิ่งไปทำอวดเขาก็เจ๊งในยกแรกเท่านั้น
       ถาม :    อย่างเวลาสมมุตที่เราอธิษฐานจิตแล้วเราจะได้สิ่งของตามปรารถนาอย่างที่เราอธิษฐานจิต   หรือไม่ตามบุญที่เราเคยได้มาก่อนครับ  ?
       ตอบบุญที่เรามีอยู่นั่นแหละทำให้เราอธิษฐานเป็น   แล้วผลของบุญขะทำให้เราได้ในสิ่งนั้น    อันนี้เขาเรียกอธิษฐานฤทธิ์   ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานคือ   ตั้งใจมั่นเพื่อจะให้เป็นอย่างนี้     มันได้ของอย่างนั้นเราต้องเคยสร้างไว้อย่างน้อยต้องมีทานบารมีอยู่
       ถาม :    แต่ถ้าไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ซิครับ  ?
       ตอบ :  มันอาจจะได้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เพราะว่าตัวอธิษฐานนี่มันเป็นการเล็งเป้าแล้วว่าจะเอาตอนนี้ แต่ถ้าหากไม่ได้บอกตอนนี้ มันอาจจะประเภท เราตายไปแล้วค่อยมาก็ไม่รู้จะให้ใครใช้แล้ว
       ถาม :   แล้วอย่างที่ว่า   ถ้าเราจะอธิษฐานเราจะต้องนั่งสมาธิก่อนใช่มั้ยครับ   ?   นั่งสมาธิแล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใช่มั้ย  ?
       ตอบ :  ไม่ต้อง  เราอยากจะทำอะไรก็ทำไป   มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวจบแล้วอธิษฐานซ้ำซะอีกที
       ถาม :   ทำ  ๒   ช่วงเหรอครับ   ?
       ตอบ :  ใช่   ขอก่อนทำ    ทำแล้วขอซ้ำ

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 02 พฤษภาคม 2009, 22:58:46 »

http://grathonbook.net/book/16.9.html

ถาม :   แล้วฤทธิ์ที่เกิดนี่ขอทีเดียวแล้วได้เลยมั้ย    หรือว่าต้องหลายครั้ง  ?
       ตอบ :  ใช่ ก็ถ้าหากว่ามันได้หลายครั้ง ก็คือเราทำความดีเพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อย เมื่อกี้ได้อธิบายไปทีแล้วว่า ถ้าหากมันขาดน้อยมันก็ได้ ทีนี้ของเราขาดน้อยขยันเติมมันก็ได้เร็วขึ้น แต่ถ้าขาดมากอธิษฐานให้ปากฉีกถึงหูก็ยาก
       ถาม :     แล้วอย่างนี้ถ้าเราอธิษฐานขอให้ถูกรางวัลที่  ๑   ได้มั้ยครับ ?
       ตอบ :  ได้เหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรื่องของลาภจากการพนันอย่างพวกหวย พวกเล่นการพนันต่าง ๆ นา ๆ มันเป็นผลของการทำบุญที่ไม่ได้ตั้งเจตนาเอาไว้ พอไปเจอเขาทำที่ไหนปุ๊บก็ร่วมกับเขาไปเลย
       ถาม :  แล้วอย่างที่เรียกว่าขโมยของ แบบบางทีข้าวที่เขาตั้งไว้แล้วไม่ได้บอกเขา แต่คิดว่าถ้ากินแล้วเขาไม่ได้อย่างนี้ถือว่าขโมยหรือเปล่าครับ ?
       ตอบ :   เขาเรียกว่า วิสาสะ ของพระเขายังให้วิสาสะเลย แต่ว่าของพระจะวิสาสะได้นั่นต้องเคยรู้จักกันมาต้องเคยเห็นกันมา ต้องเคยพูดกันมา แล้วข้อสุดท้ายนี่สำคัญที่สุด รู้ว่าทำแล้วเขาไม่ว่าอะไร ถ้าอย่างนั้นพระเองยังวิสาสะได้เลย แต่หลวงพ่อท่านบอกอย่าไปใช้เลยเดี๋ยวมันเสียนิสัย ก็บอกเขาซะหน่อยซิใช่มั้ย ? บอกเขาซะหน่อยรู้ว่าเขาไม่หวงอยู่แล้ว อย่างน้อย ๆ ความรู้สึกเขาก็ดีขึ้นว่า เออ.... มันยังรู้จักบอกกล่าวเจ้าของบ้าง ไม่ใช่หยิบไปเฉย ๆ
       ถาม :  แต่ก่อนนี้ค่ะเวลาที่ทำบุญหรืออะไรอย่างนี้ค่ะ ก่อนที่จะมาเริ่มแบบนี้ก็จะทำไปอย่างสบายใจ แต่พอมาเริ่ม... (ไม่ชัด)...อย่างนี้ค่ะแต่พอเราเริ่มตั้งใจจะทำความดีหรือทำบุญอะไรอย่างนี้ ค่ะ มันจะมีอารมณ์หนักขึ้นมาค่ะ ?
       ตอบ :  ก็เป็นฌานอยู่ อารมณ์ฌานมันต้องอาศัยกดมันอยู่ มันหนักมันไม่เหมือนก่อนหน้านี้ ตรงอุปจารสมาธิ คืออารมณ์เบา ๆ ทั่วไป จริง ๆ แล้วเราสามารถที่จะลดกำลังลงมาให้สู่จุดเดิมของเราเมื่อก่อนนี้ได้ แต่ว่าจุดนั้นมันอันตรายหมิ่นเหม่เกินไป เพราะว่ามันล่อแหลมต่อกิเลสตัญหาต่าง ๆ ที่มันจะมากลั่นมาแกล้งมาทดสอบกำลังใจของเรา ถ้าเรากดมันเอาไว้มันจะนิ่งจะหนัก
                ขณะเดียวกันทำบุญก็จะไม่รู้สึกชื่นใจเลยทั้ง  ๆ  ก่อนหน้านั้นมันเป็นใช่มั้ย  ?    คือว่า มันก้าวพ้นจากจุดนั้นมาแล้ว ตัวปีติความชื่นใจของเรามันยังไม่เข้าถึงฌาน พอเราก้าวพ้นปีติมาเป็นฌานมันก็จะพ้นจากตัวปีติไปแล้ว มันเหลือแต่การทำบุญด้วยฌานคือความเคยชิน รู้ดีว่าดีก็ทำในเมื่อเป็นอย่างนั้นตัวชื่นใจมันเคยปรากฏแต่ก่อนนี้มันก็ไม่ มีแล้วมันกลายเป็นตัวอุเบกขาไปแทน    
              แต่ว่าเนื่องจากว่าตอนนี้กำลังใจของเรามันยังหยาบอยู่ต้องอาศัยกดมันมากอยู่ ตัวอุเบกขาของเราที่ปล่อยวางมันก็เลยวางไม่ได้เต็มที่ มันก็จะรู้สึกว่ามันหนักนะ ถ้ามันก้าวพ้นจุดนี้ไปได้มันจะเบาสบายทำเมื่อไหร่ก็ได้ หรือไม่ก็เราไปหัดประเภทที่เรียกว่าหัดทรงฌานในแต่ละระดับชั้นให้มันคล่อง ตัว จะขึ้นยังไง จะลงยังไง ๑-๒-๓-๔, ๔-๓-๒-๑ หรือ ๔-๑-๓-๒ สลับกันไปอย่างนี้
              จนกระทั่งมันคล่องแล้วเราสามารถลดอารมณ์เมื่อไหร่ ก็ได้เพิ่มอารมณ์ขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะลงมาเป็นอุปจารสมาธิมันก็พอได้อยู่ มันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาที่จะไปกดอารมณ์ของเราจนกระทั่งเรารู้สึกว่ามันหนัก แล้วทำบุญไปก็ไม่ชื่นใจเลยไม่รู้จะทำไปทำไมอะไรอย่างนั้น นั่นคิดผิดจริง ๆ แล้วทำไปเถอะทำบุญเมื่อไหร่มันก็เป็นบุญ กำลังของบุญมันสูงกว่าเดิมซะด้วยซ้ำไปเพราะว่าเราเป็นผู้ทรงฌานในขณะที่ทำ ทำไปเดี๋ยวพอคล่องตัวมันพ้นจากจุดนั้นก็สบายทีนี้แบกไปก่อน พอถึงที่แล้วก็วางกองไว้
       ถาม :  เวลาที่จะฝึกอย่างเวลาทำสมาธิค่ะ เราไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะถึงฌานที่ ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ พยายามจะสังเกตตัวเองก็ไปเปรียบกับในหนังสือ แต่ว่า....?
       ตอบ :  ถ้าหากว่าเราจะสังเกตในลักษณะนั้นก็แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปตามจี้มัน ถ้าเราไปตามจี้มัน เออ! ตอนนี้มันวิตกนะ มันนึกอยู่ว่าจะภาวนา ตอนนี้มันวิจารณ์นะ ลมหายใจยาว - สั้น แรง ? เบาอย่างไรเรารู้อยู่ภาวนาอย่างไรเรารู้อยู่ ตอนนี้มันปีตินะ เออ...ขนลุกแล้ว ตอนนี้น้ำตาไหล ตอนนี้ตัวโยกไปโยกมา เดี๋ยวมันก็เป็นสุขแล้วเดี๋ยวมันจะเป็นเอกัคตารมณ์ จะเข้าเป็นฌานแล้ว ถ้าเราไปตามจี้มันอย่างนี้   มันจะไม่เป็นหรอก     
               เรื่องทั้งหลายเหล่านี้    มันขี้อาย   มันกระชั้นจนเกินไปมันไม่เอาด้วย    เราต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเราก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ภาวนาผลมันจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตามทีเถิดเราจะทำ ถ้าสามารถวางกำลังใจได้อย่างนี้ มันจะปุ๊บปั๊บข้ามขั้นตอนไปเป็นฌานได้เร็วมากเลย เราคอยสังเกตไว้อย่างเดียวอย่าไปตามจี้มันติด ๆ เราแค่สังเกตว่าอาการเหล่านี้มันเกิดขึ้นรับรู้แล้วก็ปล่อยวางไปเรื่อย    
              แล้วถึงเวลาเราไปอ่านตำราเราจะเข้าใจเลยว่าอารมณ์แต่ละขั้นตอนที่เกิดกับเรา มันเป็นฌานขั้นไหน มีอยู่ ๒ ราย ... จะเรียกว่ารายเดียวก็ได้ เขาปฎิบัติอยู่ด้วยกันแต่ว่าเขาเล่าให้ฟังคนเดียว คนหนึ่งชื่อเรียม    คนหนึ่งชื่อเกสร   บ้านอยู่อำเภอสะเดา   จังหวัดสงขลา ยายเกสรเขาขี่จักรยานยนต์มอเตอร์ไซด์น่ะ ขี่จักรยานยนต์มาทำงาน คราวนี้เขาภาวนาจนชินมันจะทรงฌาน ๓ อัตโนมัติเลย พอถึงเวลาเขาก็จะเเข็งทั้งตัวเขาต้องไปเขย่าไห้มันหลุดเขาถึงจะขี่จักรยาน ได้ (หัวเราะ) พอเขาเขย่ามันหลุดเสร็จพอเผลอหน่อยมันก็เข้าอีกก็ต้องเขย่าอีก
              จนกระทั่งเขาสงสัยมากเลยว่าเขาเป็นอะไร เขาคิดว่าเขาผิดปกติ แต่เนื่องจากว่ามันเขย่าหลุดได้ก็ไม่อันตรายอะไรเขาก็เลยปล่อยมันมาเรื่อย ๆ พอเขามาถามก็เพิ่งจะรู้ว่าเขาเข้าถึงฌาน ๓ แล้วตอนนี้เขาชำนาญมากแล้ว คือเขาจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ จะให้มันหลุดเมื่อไหร่ก็ได้ (หัวเราะ) มันกลายเป็นความไม่รู้ของเขา ทำให้เขาเข้า ๆ ออก ๆ จนชำนาญไปเลย ความจริงไม่รู้มันก็สนุกดีเหมือนกัน รายนั้นเขาดีอยู่อย่างคือเขาไม่รู้แต่เขาไม่กลัว บางคนพอเกิดอาการแปลก ๆ ขึ้นกับร่างกายแล้วกลัวเลิกทำไปเลยบ้างอะไรบ้างนั่นเสียประโยชน์ของตัวเอง น่าสนุกมั้ย ...
              ความจริงเขาปฎิบัติได้ดีมากเลย แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำได้เรียกว่าอะไร ทำน่ะทำได้อยู่แต่เรียกไม่ถูก พอมีคนไปบอกก็เพิ่งจะรู้ อ๋อ ! ไอ้คนทรงฌานคิดว่ามันวิลิศมาหราขนาดไหนหมู่ ๆ แค่นี้เอง (หัวเราะ) ไปซะไกลลิบแล้ว นั่นถ้าปล่อยต่ออีกนิดก็เป็นฌาน ๔ เต็มที่ไปเลย แต่เนื่องจากว่าเขาเองเขาพอไปถึงตรงนั้นแล้วมันบังคับไม่ได้แล้วนี่ ตัวมันเเข็งหมด เขาก็เลยต้องคลายมันออกมา พอไปถึงตรงนั้นแล้วถอยมันก็เลยไม่ได้เข้าฌาน ๔ ซะที แต่ว่า ๑-๒-๓ สำหรับเขาแล้วสบายมาก เข้า ๆ ออก ๆ จนชินแล้ว
       ถาม :     งั้นพอเขาได้  ๓   แล้วตอนฌาน  ๑-๒  ล่ะ  ?
       ตอบ :  ตอนนั้นขั้นตอนมันไม่แปลกนี่ใช่มั้ย ? เพราะว่าปฐมฌานนี่มันรู้แค่ลมอัตโนมัติ พอฌาน ๒ นี่ลมอัตโนมัติ พอฌาน ๒ นี่ลมมันเบาลงคำภาวนานี่บางทีก็ยังอยู่บางทีก็หายไป ฌาน ๓ นี่ต่างหากถ้าหากว่ามันเข้าหนักจริง ๆ นี่ตัวมันไม่กระดิกทีก็หายไป ฌาน ๓ นี่ต่างหากถ้าหากว่ามันเข้าหนักจริง ๆ นี่ตัวมันไม่กระดิกเลย มันเหมือนยังกับโดนมัดแน่นปึ๋งหรือไม่ก็ตัวแข็งเป็นหินเลยน่าลองมั้ย ?
       ถาม :     แล้วเวลานั่งจริง   ๆ  แล้วจะรู้มั้ยคะว่า  ฌาน  ๑   ฌาน  ๒   ฌาน  ๓   ฌาน  ๔  ?
       ตอบ :  ถ้าเราจะรู้สภาพจิตของเราผ่านขึ้นตอนอย่างนี้ ๆ สภาพร่างกายมีอย่างนี้ ๆ เกิดขึ้นถ้าหากเราไปศึกษาขึ้นตอนของการทรงฌานมา รู้ว่าแต่ละอาการอยู่ในระดับไหนเราจะรู้เลยแต่ว่าเราไม่ได้ศึกษามาก็แบบราย นั้น ทำได้จนคล่องแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้ถ้าหากไปเข้าฌานออกฌานแข่งกับแกนี่สู้แกไม่ได้เลยนะ แกคล่องมากเลย (หัวเราะ )
              ทำอยู่ทุกวัน ...พอขึ้นสตาร์ทเครื่องออกไปได้ การขี่รถมันต้องใช้สมาธินี่ พอเริ่มใช้สมาธิปุ๊บ ความเคยชินมันก็กลายเป็นฌาน ๓ ไปเลย ก็ต้องไปเขย่าให้หลุดออกมาแล้วก็ขี่ต่อ แล้วต่ออีกหน่อยก็เป็นอีกแล้วก็เขย่า (หัวเราะ) ดู ๆ แล้วมันน่าสนุกออก กว่าจะรู้นี่ตัวเองคล่องมากแล้ว ทรงฌานเป็นปกติแล้ว
       ถาม :  เวลาเราขี่รถนี่จะเป็นคนเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง จะมองไปข้างหน้ามองไปไกล ๆ เสร็จแล้วคล้าย ๆ ภาพมันจะนิ่ง บางทีนี่ขี่รถเลยที่แต่ว่าไม่รู้ตัว ?
       ตอบ :   ลักษณะก็คงคล้ายกันภาษานี้เขาเรียก    ภวังค์   ภวังค์นี่จริง ๆ  แล้วมันตกจากอารมณ์แน่นมาสู่ภาวะนั้น  แต่ของเราเรียกคำว่า  ภวังค์    ก็คือแทนที่จะตกมันเข้าสู่ภาวะนั้น     เข้าสู่ภาวะนั้นของเรามันอาจจะเป็นปฐมฌานหยาบ พอเป็นปฐมฌานหยาบสิ่งต่าง ๆ ที่มันผ่านเข้ามาเราจะรับรู้เฉย ๆ แต่ไม่สนใจมัน ในเมื่อไม่สนใจมันรถกำลังขี่อยู่ เราจะไปตรงนั้นเราดันไม่สนใจมันก็เลย
       ถาม :    เสียงลม   เสียงรถอื่นนี่ผมจะไม่ได้ยิน
       ตอบ :   บางทีหูมันก็ดับไปเลย   ก็ดีเหมือนกันนะ    ได้จากขี่รถอีกคนหนึ่ง
       ถาม :    ?ปัญจมฌาน? คืออะไร  ?
       ตอบ :   ปัญจมฌาน   ก็คือฌานที่  ๕   มีสำหรับพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเท่านั้น   ทั่ว ๆ  ไปทำไม่ได้หรอกถ้าคุณเป็นสาวกภูมิ    เพราะว่าฌานมันเป็นฌาน    ๔   มันจะประกอบไปตัวสุดท้ายก็คือตัว เอกัคตารมณ์ แปลว่าอารมณ์มันตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวไม่คลอนแคลนไม่หวั่นไหวไปไหน แต่เนื่องจากว่าเอกัคตารมณ์ของทุกขั้นตอนไม่ว่าจะฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ มันจะมีตัวอุเบกขาอยู่ข้างในนั้น ถ้าคุณขาดตัวอุเบกขาคุณจะทรงฌานไม่ได้ ตัวอุเบกขาอย่างที่บอกว่าเรามีหน้าที่ภาวนามันจะเป็นอย่างไรช่างมันนั่นคือ อุเบกขา คราวนี้ผู้ที่มีความชำนาญมาก ๆ ในระดับนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มมาก เข้าจะแยกตัวเอกัคตากับตัวอุเบกขาออกจากกันได้   ก็จะกลายเป็นฌานที่   ๕
       ถาม :    ไม่ใช่อรูปฌาน  ?
       ตอบ :   ไม่ใช่   แต่ถ้าหากว่าเราจะนับเป็นอรูปฌาน   ๑-๒-๓-๔   ขึ้นไปจะเรียกปัญจมฌานก็จะเป็นอรูปฌานที่  ๑
       ถาม :   ก็แสดงว่าได้ทั้ง  ๒   อย่าง  ?   
       ตอบ :  ก็ไม่ใช่ เพราะว่าอรูปฌานมันใช้กำลังแค่ฌาน ๔ เท่านั้น เพียงแต่ว่าใช้ฌาน ๔ ในการพิจารณาอากาศ พิจารณาวิญญาณ อย่างนั้นก็ดูด้วยว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเป็นอรูปฌานที่ ๑ จะเรียกปัญจมฌานได้ แต่ว่าปัญจมฌานที่แท้จริงนั่นจะเป็นพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ได้ คนทั่ว ๆ ไป ไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงขั้นนั้น เพราะไม่ใช่ครูเขา ถ้าเป็นครูเขาจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงขึ้นนั้น ไม่งั้นถึงเวลาแล้วมันตอบเขาไม่ได้
       ถาม :    งั้นปัญจมฌานก็ไม่ใช่ฌาน   ๔   หรือว่าเป็น  ?
       ตอบ :   ปัญจ   แปลว่า    ๕   ปัญจม   แปลว่าที่   ๕   ปัญจมฌาน   คือ   ความเคยชินขั้นที่   ๕

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2009, 20:35:31 »

http://grathonbook.net/book/16.10.html

ถาม :  ..................   
       ตอบ :   อันนั้นเขาต้องเรียนอรูปฌานที่  ๑    นะ   แต่เขาเรียก   ?สมาบัติที่  ๕?    คือการเข้าถึงขั้นที่  ๕
       ถาม :  เขาว่ามีสมาบัติ   ๙ ?   
       ตอบ :   สมาบัติมี  ๙   เหมือนกัน   อันสุดท้ายเขาเรียก ?นิโรธสมาบัติ?    (หัวเราะ)    แต่สำหรับพระโพธิสัตว์นี่ต้องเป็นสมาบัติ  ๑๐ (หัวเราะ) เพราะว่าท่านสามารถเข้าถึงฌานที่ ๕ ได้ถัดจากฌานที่ ๔ ได้ ไม่ได้เข้าจากอรูปฌานที่ ๑ แบบที่เราเข้าใจ ฌานที่ ๕ ของท่านก็คือฌานที่ต่อจาก ๔
       ถาม :    อธิบาย   ?พระโพธิสัตว์?   ให้ฟังหน่อยครับ  ?
       ตอบ :   พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ปรารถนาพระโพธิญาน คือต้องการจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เหตุที่ตั้งความปรารถนาอันนั้นเอาไว้เพราะว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นดาวดึงส์ไปโปรดพระพุทธมารดา ตอนกลับลงมาโดยพุทธประเพณีท่านจะเปิดตั้งแต่นิพพานลงไปยันอเวจีมหานรก ให้สัตว์ทุกหมู่เหล่าเห็นถึงกันหมด
              ในเมื่อทุกหมู่เหล่าเห็นถึงกันหมดก็จะรู้ว่านี่คือพระพุทธเจ้า เป็นผู้เลิศที่สุดแล้วใน ๓๑ ภพภูมิทั้งสูงและต่ำเมื่อเป็นดังนั้นก็จะเกิดความคิดขึ้นมาว่า ?ถ้าเราเป็นอย่างนั้นบ้างก็จะดี?    เท่ากับตั้งความปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า    คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะสามารถทำให้ถึงจุดหมายที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้ได้   เกินกว่า   ๙๐  %ท่านจะละเสียก่อน     
              ส่วนที่เหลือบางทีอย่างหลวงพ่อ ขนาดของหลวงพ่อนี่เหลืออยู่หน่อยเดียว หน่อยเดียวจริง ๆ หน่อยอย่างชนิดที่ว่าน่าเสียดายมากเลย เพราะว่า ถ้าท่านอยู่จนถึงอายุ ๖๐ ปี บารมีท่านจะเต็มในชาตินี้ รอไปตรัสรู้อย่างเดียว แต่ว่าท่านก็ลา การที่ความปรารถนาจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณคือต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า เท่ากับว่าเราต้องเป็นครูใหญ่กว่าเขาทั้งหมด
              ในเมื่อเราต้องเกิดเป็นครูใหญ่กว่าผู้อื่นเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้ก็ต้องละเอียดกว่าเขา เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์ ในการปฎิบัติโดยเฉพาะการปฎิบัติภาวนาทุกขั้นทุกตอนจะได้ยากกว่าคนอื่นเขา หลายเท่า เพราะว่าท่านต้องย่ำแล้ว ย่ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนทะลุประโปรงเจนจบจริง ๆ ในแต่ละขั้นท่านจะผ่านได้

              ถึงได้บอกว่าคนอื่นเขาแค่ฌาน ๔ ท่านต้องได้ฌาน ๕ ขณะเดียวกันว่าคนอื่นอาจจะเจอปีติตัวหนึ่งหรือ ๒ ตัว ๓ ตัว ๔ ตัว หรือไม่เจอเลยแต่ของท่านต้องเจอครบ ๕ ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาท่านจะไปสอนเขาไม่ได้ ของเรา ๆ เดินขึ้นบันไดมาแค่รับรู้ว่ามันมีบันได แต่ของท่าน ๆ ต้องไปเช็ครายระเอียด มันกว้างเท่าไหร่ ยาวเท่าไหร่ ประกอบด้วยวัสดุอะไรก่อสร้างขึ้นมาลักษณะไหน
               ถึงเวลาท่านต้องสร้างบันไดให้คนอื่นเขาได้   มันยากกว่ากันขนาดนี้    ดัง นั้น ว่าบุคคลที่เคยมีเชื่อสายในการปรารถนาพระโพธิญาณมาก่อน ถึงละความปรารถนานั่นแล้ว เวลามาปฎิบัติมันก็ยังลำบากกว่าคนอื่นอยู่ดี   ขอให้ภูมิใจว่าเราผ่านหลักสูตรโหดมาแล้ว     
              เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวาลามันได้ลำบากกว่าคนอื่นหน่อยก็เอา แต่ว่าเนื่องจากแต่ละท่านส่วนใหญ่จะสร้างกำลังบารมีมาไว้มาก เพราะฉะนั้นท่านไม่ท้อถอยกับใครง่าย ๆ หรอก พระโพธิสัตว์นี่ สู้หัวชนฝาแล้วก็ฝาพังด้วยหัวไม่แตกหรอก
              ดังนั้นว่าถึงลำบากท่านก็เอา คราวนี้การบรรลุมรรคผล ในเมื่อท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้นทุนสูงมาก พอละเข้ามาหามรรคผล ส่วนใหญ่ก็จะเข้าถึงได้เร็วเพราะต้นทุนพอแล้ว เก็บเงินซักเท่าไหร่ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท จะซื้อเบนซ์อีคลาสมาขี่สักคันหนึ่ง แต่ถึงเวลาลดลงมาซื้อแค่โตโยต้า นิสสัน มันก็ไม่ถึง ๑ ล้าน ใช่มัย ? สบายเขาซื้อได้เลย โพธิสัตตะ   คือสัตว์ที่ปรารถนาจะเป็นผู้รู้    โพธิญาณะ   คือเครื่องรู้ซึ่งเข้าถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ    ยังเอาอีกมั้ย  ?   ปรารถนาพระโพธิญาณต่อมั้ย  ?  สะใจดี     
              หลวงพ่อเคยเตือนอาตมาไว้ทีหนึ่งว่า ?การละความปรารถนาในพระโพธิญาณ? หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ?ลาพระพุทธภูมิ? กำลังใจมันจะตก คราวนี้ของเรานี่ก็ลาแล้วนึกอยู่ในใจว่า ไม่ตก เรายังบ้าเท่าเดิมแต่ปรากฏว่าดูไปดูมาแล้วหลวงพ่อท่านถูกเราผิด เรามันอวดรู้ กำลังใจไม่ได้ตกหรอก แต่ว่ามันตัดปัญหาจุกจิกไปเยอะเลย
              สมัยก่อนนี่ของเขาเองเดือดร้อนเราเห็นปุ๊บตะเกียกตะกายไปช่วยเขา จนกระทั่งบางทีเหมือนกับเสือก แต่ว่พอถึงสมัยนี้ถ้าไม่ได้ชักพราด ๆ ล้มทับตีนข้างหน้านี่ ไม่ช่วยหรอก มันกลายเป็นตัดปัญหาข้างนอกไปเยอะมหาศาลเลย ก็เลยเรียกง่าย ๆ ว่ากำลังใจมันตกลง คือเรื่องทั่ว ๆ ไปไม่เอาแล้วเราเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน
       ถาม :  เคยรู้สึกว่าจิตมันกดจนแบนหนักมาก ๆ เลยช่วงหนึ่ง แล้วก็ทำยังไงให้มันหลุดมันก็ไม่หลุด แบบพยายามทำบุญทำอะไรก็ตาม ?
       ตอบ :   ไม่ต้องจ้ะ   เปิดเพลงดัง  ๆ   แล้วเต้นเเร็พไปเลย   จิตมันทรงฌานอยู่   ถ้าเอาของที่เป็นข้าศึกกันมาล่อ    มันจะหลุดออกมาเอง
       ถาม :  แล้วมีอยู่วันหนึ่งค่ะ เจอคนที่เขามีความทุกข์มากกว่า ก็เลยคิดว่าจะช่วยคนที่เขามีความทุกข์ให้พ้นทุกข์ให้หมดให้ได้เลยอะไรอย่าง นี้ พอคิดเท่านั้นแล้วมันโล่งหมดเลย
       ตอบ :   อันนี้ช้าไปนิดหนึ่ง   ลักษณะอาการอย่างนั้นเขาเรียกว่า ฌานค้าง อาตมาเคยค้างไม่นาน หรอก ๒ เดือนกว่าเกือบ ๓ เดือน ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง กระแทกยังไงก็ไม่หลุด คือเข้าลึกไปหน่อย คราวป้าชอ   ป้าเชิญ ท่านจะเป็นลูกศิษย์รุ่นเก่าอวุโสของหลวงพ่อ เขามีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน ป้าเชิญแกสนุกของแกนี่นิสัยของแกเป็นอย่างนี้อยู่แล้วอยากค้างใช่มั้ย ? ดูสิมันจะแน่แค่ไหน แกก็เปิด เพลงเต้นระบำอยู่คนเดียว ไม่นานหรอก....หลุด เพราะจิตไปเพลินกับอาการที่ทำ
               ส่วนของเรานี้ เราไปตั้ง ความปรารถนาไปนึกถึงคนอื่น โดยเฉพาะการนึกจะช่วยคนหมู่มากทั่ว ๆ ไปนี่ กำลังใจมันส่งออกเยอะ ในเมื่อส่งออกเยอะก็หลุดจากอาการนั้น แต่ถ้าหากว่าเราปล่อยให้มันอยู่เฉพาะหน้าตรงหน้ามันก็แน่นตึ๊กเหมือนเดิม ทำใหม่จ้ะ ตอนนั้นน่ะสังเกตไหม มันปลอดภัย รัก โลภ โกรธ หลง มันกินเราไม่ได้เลย แต่พอเราหลุดออกมาเมื่อไหร่ก็เสร็จมันน่ะ อารมณ์ราคะ โลภะ โมหะ มันเกิดใหม่ทันทีที่เราหลุดออกจากอาการนั้นเลย
              ต้องสังเกตใจของเราให้ดี รีบมุดกลับเข้าไปที่เดิมซะ ขืนช้าเดี๋ยวมันฟัดตาย (หัวเราะ) เวลาจะออกมา โผล่ออกมาด้วยความระมัดระวัง อาการทรงฌานนี้ถ้าเราคล่องแล้วนะ เหมือน กับว่าเราชักรอก จะเอาสูง เอาต่ำ เอาหนัก เอาเบา เอาแรง เอาค่อย แค่ไหน ส่งการได้หมด อยู่ในลักษณะนั้นเวลามันมีเรื่องอะไรที่ให้เราสนใจ เราก็ค่อยคลายอารมณ์ออกมาอย่างระมัดระวัง รับรู้มัน หน่อยเหมือนกับค่อย ๆ เปิดประตูระวังคนจะตีหัว พอสนใจเสร็จเรียบร้อยก็รีบปิด กลับเข้าไปสู่ความปลอดภัยของเราตามเดิม ใส่เกราะไว้ไม่งั้นหัวจะแตก ส่วนใหญ่แล้วเผลอหลุดเลย พอหลุดเลยก็....พอรับ อารมณ์เข้าไปเต็มที่กว่าจะรู้ตัวมันพาไปหลายกิโลแล้วรีบ ๆ กลับเข้ามี่เดิม
       ถาม :   ตรงชักรอกนี่ต้องฝึกด้วยใช่มัยคะ  ?
       ตอบ :  ต้องฝึกจ้ะ ต้องฝึกสร้างความเคยชินกับมัน สมัยที่ฝึกใหม่ ๆ สนุกมาก คนเห็นเขาก็นึกว่าเราบ้า นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่คนเดียว พอถึงเวลาก็นั่งขึ้นมาอารมณ์มันก็คลายปรี๊ดออกมาทีละระดับ ๆ จนถึงอุปจารสมาธิพอนอนลงก็ไล่อุปจารสมาธิ ฌาน ๑,๒,๓,๔ (หัวเราะ) มันสนุกของมันนะ
       ถาม :    นี่คือวิธีฝึกใช่มั้ยคะ  ?
       ตอบ :  สำหรับคนอื่นเขาไม่ได้ฝึกอย่างนี้ แต่อาตมาฝึกอย่างนี้ เพราะว่าถ้าอารมณ์ใจมันแน่นเกิน ปฐมฌานไปมันจะบังคับร่างกายไม่ได้ แต่ว่าของเรา ๆ ต้องบังคับได้ ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ สนุกมากเลย ลองดูเถอะแล้วเขาจะว่าบ้าเอง
       ถาม :   .........................
       ตอบ :   หลวงพ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า จรณะ   ๑๕   ถ้าใครทำจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็วนะ   แค่อินทรียสังวร ตัวเดียวนี่  พระนันทะเถระเป็น เอตทัคคะ คือผู้เลิศกว่าภิกษุอื่น เพราะว่าพระนันทะเถระท่านเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า น้องคนละแม่ พระนันทะเถระกำลังจะแต่งงาน พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต
              สมัยก่อนนนั้นพอบิณฑบาตท่านจะส่งบาตรให้ พอรับบาตรไปใส่อาหารเสร็จก็จะเอามาประเคนคืน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับหรอก ท่านกลับหลังหันได้ก็เดินไปเลย พระนันทะเถระก็ถือบาตรตามไปเรื่อย ตามไปจนกระทั่งถึง เชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าถาม นันทะเธอจะบวชไหม ? เกรงใจพระพุทธเจ้าก็......บวชพระเจ้าข้า ๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โห........คนกำลังจะเข้าหอลากไปบวช (หัวเราะ) เป็นเราก็กลุ้มใช่ไหม
              คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ ท่านเลยตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุดนั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้ บอกว่า ...นันทะ ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ? พระนันทะเถระบอกว่า นางชลบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า   
              พระพุทธเจ้าบอกว่าดี เดี๋ยวจะพาไปดูอะไร จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดูบอกว่า แล้วเธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้เมื่อเปรียบกับชลบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่าง ไร ? พระนันทะบอกว่า นางชลบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขน หลุดตัวนั้น พระพุทธเจ้าเลยถามว่า แล้วถ้าหากว่าเธออยู่ปฎิบัติต่อไปแล้วตถาคตรับปากว่าจะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่ เธอ ๆ จะรับไหม ?
              พระนันทะก็ตกลง พระพุทธเจ้าท่านก็เลยสอนกรรมฐานให้กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลงพระนันทะบวชพระเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า พอท่านบรรลุมรรคผลแล้วท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์    คำว่าอินทรีย์คือ การเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ เสร็จแล้ว โดนมันตีบ้านตีเมือง ยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนมัน ยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย
              ดังนั้นพอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าชาย ได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ    คือผู้เป็นเลิศกว่าคนอื่นในทาวสำรวมอินทรีย์    รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอด     
               ที่หลวงพ่อท่านใช้คำว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสก็สักแต่ว่าได้รส สัมผัสก็สักแต่ว่าได้สัมผัส ให้มันอยู่แค่นั้น อย่าไปคิดต่อ ตัวคิดต่อภาษาพระเขาเรียกว่าสังขารคือการปรุงแต่ง คิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น     พอคิดปุ๊บก็แบ่งเป็น  ๒   อารมณ์  คือ    อิฎฐารมณ์ชอบใจ     อนิฏฐารมณ์ ไม่ชอบใจ มันพาให้พ้นทุกข์ทั้งคู่ ชอบใจต้องตะเกียกตะกายไปหามาลำบากไหมล่ะ เวลาหาไม่ชอบใจก็ต้องขวนขวายหนีให้ห่างมัน ลำบากทั้งคู่ ทุกข์ทั้งคู่ ดังนั้นท่านถึงว่า รู้สักแต่ว่าให้รู้    พอเราหยุดมันลงได้ทัน    มันเข้าไปในใจของเราไม่ได้เราก็ปลอดภัย 
                เมื่อเราปลอดภัยจิตใจของเราผ่องใสสะอาดอยู่    กิเลสกินเราไม่ได้   ถ้าจิตสะอาดถึงที่จะไปไหนล่ะ ?    ก็ไปนิพพาน
ฟังดูแล้วไม่น่ายากใช่ไหม ? เอามั้ยเดี๋ยวน้องป๊อบจะกลายเป็นลิงแก่ ๆ ขนหลุดหูแหว่งตัวนั้น แล้วเสร็จแล้วเราก็ไปหานางฟ้าแทน พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก เพราะถ้าหากท่านทำได้แค่ขั้นแรก ๆ เท่านั้นกำลังใจทรงตัวนี้ได้แหง ๆ อย่างน้อยนางฟ้า ๕๐๐ องค์เป็นบริวารอยู่แล้ว ไม่ได้โกหกให้จริง ๆ ให้เยอะด้วย แต่บังเอิญว่าของท่านเก่ง ท่านทำเลยขึ้นไปเยอะกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย ไม่ได้ซักองค์ (หัวเราะ)

Nobody

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2009, 18:16:39 »

http://grathonbook.net/book/16.11.html

ถาม :  ทีนี้พูดถึงวัตถุมงคล คนที่ห้อยนะคะ พวกที่ห้อยนี่มีความจำเป็นไหมคะว่าวัตถุมงคลจะให้ผลหรือว่าเป็นคนที่อยู่ใน ศีลในธรรม เป็นใครมาห้อยวัตถุมงคลก็ยัง....(ไม่ชัด)....ให้ผลได้ตลอด ?
       ตอบ :  ต้องดูกำลังใจของเขา วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง ๆ นี่จะส่งกำลังอยู่ตลอดเวลา สำคัญตรงจิตของเขาที่เป็นเครื่องรับ ถ้าเครื่องรับไม่เปิดผลก็ไม่มี หรือว่ามีน้อย
       ถาม :    ขยายความตรงที่บอกว่าเปิด   เครื่องรับเปิดตรงนี้นี่หมายถึงอะไร  ?
       ตอบ :   คือว่าต้องเปิดใจของเรารับ   คือใจของเราต้องยึดเกาะท่านเป็นปกติ
       ถาม :   ก็คือต้องเชื่อ  ?
       ตอบ :  ใช่ อันดับแรกต้องมีศรัทธาถ้าหากว่าศรัทธาความเชื่อไม่มีทุกอย่างไม่มีผล ไม่เชื่อมันต่อต้าน เท่ากับปิดเครื่องโดยตรงเลย
       ถาม :  นอกจากนี้มีอะไร  ?
       ตอบ :  ก็ศรัทธาความเชื่อ ในเมื่อเชื่อยึดมั่นเเล้วต้องปฎิบัติตามกฏเกณฑ์ที่เขาให้มา อย่างเช่นว่า อาจจะต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อาจจะต้องท่องบ่นสวดมนต์คาถาบางบทเป็นประจำ
       ถาม :  ท่องเพื่ออะไรคะ ? 
       ตอบ :  ลักษณะเหมือนอย่างกับว่าเป็นรหัสบอกฝ่าย ถ้าหากว่าคนที่เขาสวดมนต์ท่องบ่นคาถาบทนี้ ก็แปลว่าเขาขอให้ช่วยถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกันพวกเดียวกัน ถ้าหากว่าเขาไม่ขอก็เป็นอันว่าไม่ต้องไปช่วยมัน (หัวเราะ)
       ถาม :  คนก็หลากหลาย    แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาขออะไร  ?
       ตอบ :   เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงจ้ะ   เทวดาความเป็นทิพย์ของเขามีคนเป็นพัน  ๆ  ขอพร้อมกันท่านก็แยกแยะได้
       ถาม :  แสดงว่าผู้ที่จะให้คุณ    เป็นแต่เทวดาเท่านั้น  ?
       ตอบ :  ทางด้านไสยศาสตร์ของเขา ถึงจะทำขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าหากผู้ที่ทำได้อภิญญา ความเป็นทิพย์ ของการที่ได้อภิญญาท่านอธิษฐานจิตสำทับเอาไว้ผลมันก็เหมือนกัน เพราะอธิษฐานสำทับด้วยกำลัง ที่สูงมากในเมื่อกำลังของเขาสูงมาก การที่เขาแยกแยะเพื่อช่วยเหลือใครเท่าไหร่มันก็สามารถทำได้ แต่เพียงแต่ว่าในลักษณะถ้าทำแบบไสยศาสตร์เป็นอภิญญาโลกีย์นี้ต้องมีวาระที่ เสื่อมของมัน
       ถาม :  ที่นี้คนที่ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้   ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิหรือเปล่า  ?
       ตอบ :  ไม่ใช่ ไม่เชื่อแต่ถ้าหากว่าจิตใจของคุณมีสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ อย่างเช่นว่า ยึดมั่นในพระรัตนตรัย ยึดมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือมาประจำตระกูลของตน หรือว่ายึดมั่นในผู้นำหรือว่าเชื่อมั่นในตนเอง เหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ
       ถาม :  นอกจากไม่เชื่อแล้วยังมีความลังเลสงสัย  ?
       ตอบ :  นั่นยิ่งดีใหญ่เลย เพราะว่าถ้าหากขืนเชื่อทีเดียวเขาเรียกว่าโง่ เราสงสัยไว้ล่ะก่อนเป็นดี แล้วค่อย ๆ พิสูจน์ไปจนกว่าจะเชื่อ อย่างตัวของอาตมาเอง กว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ใช้เวลาพิสูจน์แบบหัวทิ่มหัวตำ ๑๑ ปีเต็ม ๆ
       ถาม :  นึกว่าเข้าข่ายลบหลู่ดูหมิ่น  ?
       ตอบ :  ไม่หรอกจ้ะ เขาไม่เรียกว่าดูหมิ่น ความขี้สงสัยมันเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างเช่นว่า ทุกวันนี้เวลาไปเจอบางสำนักของเขาที่มีพฤติกรรมต่างจากความเคยชินของเรา อาตมาเองก็ตั้งข้อสงสัยไว้เหมือนกัน ต้องระวังไว้ก่อน ยังไม่เชื่อทีเดียวจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาดีจริง ถ้าเขาดีจริงก็ยอมรับ
       ถาม :  คือกำลังสงสัยว่า   เรื่องของ  ?ทรง? นี่โดยปกติมนุษย์เราก็จะมีสภาพของตัวเราอยู่ ที่นี้ถ้าจะพูด ถึงว่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาแทรกได้ในตัวเรา ในกรณีที่เราถือว่าเราเชื่อว่าเป็นจิต จะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเขามาแทรกตัวเราคือสภาพของจิตช่วงนี้การรับรู้เรื่อง นั้นนี่มันเป็นอย่างไรคะ ?
       ตอบ :  เอาอย่างนี้นะ ที่เราอธิบายน่ะ เขาเข้าใจแต่พูดเป็นคำพูดยาก ฟังพระดีกว่า สภาพร่างกายของเรานี่มันเป็นเปลือกนอก แล้วจิตของเรานี่มันเป็นผู้ที่ควบคุมอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้นร่างกายของเรานี่เป็น ?รถ? จิตของเราคือ ?คนขับรถ? ตอนที่เขาจะทรงจะสวมจะทับนี่เขาเอาคนขับรถออกไป แล้วเขาก็เข้าไปทำหน้าที่แทน
       ถาม :  เขาจะเอาเราออกไปได้อย่างไร  ?
       ตอบ :  เขาใช้วิธีบีบบังคับด้วยกำลังที่เหนือกว่า สภาพจิตของเราที่ขาดการฝึกปรือมากำลังจะน้อย ในเมื่อกำลังน้อยพวกที่ท่านอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ถึงจะเป็น โอปปาติกะ หรือ เปรต   อสุรกาย  ก็ตามกำลังท่านจะสูงกว่า   ท่านจะเบียดเราออกไปชั่วคราว
       ถาม :  ตรงนั้นนี่   การเบียดออกไป   จิตตรงนั้นไปอยู่ที่ไหน  ?
       ตอบ :  ตอนนั้นอาจจะอยู่ใกล้ ๆ นั่นเองแหละ เดินพล่านไปหมดว่าเมื่อไหร่เขาจะคืนเรา หรือไม่อีกที หนึ่งเขาจะใช้อำนาจจิตที่สูงกว่าบังคับจิตของเราให้ทำตามที่เขาต้องการถ้า หากว่าเป็นเทวดาเขาจะใช้ลักษณะนี้