รายงานวิชา : ชีววิทยาน่ารู้ ตอน : สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหญิง
>1. นิยาม และลักษณะทางกายภาพ : หญิงสาวได้แก่
>มนุษย์เพศหญิงที่วิวัฒนาการมาจาก "เด็กหญิง"
>ส่วนช่วงอายุที่จะแปรสภาพเป็นหญิงสาวนั้นไม่สามารถนิยามได้
>มนุษย์บางคนใช้เวลาพัฒนาเป็นหญิงสาวได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่เกิน 8
>ปี หากได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน อย่างที่มีศัพท์ทางชีววิทยาเรียกว่า
>"แก่แดด" หรือบางกรณี วิวัฒนาการของบางคนก็ปรากฏได้อย่างช้ามาก
>จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็น "หญิงสาว"
>ได้ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยหรือทำงานแล้ว
>
>อย่างไรก็ตาม การพ้นสภาพหญิงสาวนี้กลับรวดเร็ว
>รายงานส่วนใหญ่รับตรงกันว่า เมื่อล่วงพ้นขวบปีที่ 30 แล้ว
>ก็ถือว่าเตรียมตัวพ้นสภาพได้ อาจจะมียกเว้นบางคนได้บ้าง
>ซึ่งมีความสามารถในการ "ดึง" อายุขัยของตนได้นิดหน่อย
>แต่ส่วนใหญ่ไม่เกินขวบปีที่ 35 ก็มักจะพ้นสภาพไปเกือบทุกคน คำพูดประมาณ
>"สาวสองพันปี"สาวใหญ่" หรือ "สวยไม่สร่าง" นั้น ในทางวิทยาศาสตร์พบว่า
>มีความหมายตรงกับภาษาละตินว่า "หลอกตัวเอง"
>
>จากค่าเฉลี่ย มนุษย์จะกลายสภาพเป็นหญิงสาวเมื่ออายุประมาณ 13
>ปี และพ้นจากสภาพนี้เมื่ออายุประมาณ 30 ปี
>
>นิโคโปลิดิส (1440 - 1495) นักปราชญ์ชาวกรีซกล่าวไว้ว่า
>"ผู้หญิงเริ่มเป็นสาวเมื่อหัดใส่บรา และ
>ผู้ชายเริ่มเป็นหนุ่มเมื่อหัดถอดบรา"
>
>2. การกลายพันธุ์ : จากการสังเกตการณ์พบว่า
>หญิงสาวมีอัตรากลายพันธุ์สูงถึงประมาณร้อยละ 5 และอาจสูงถึงร้อยละ 8-10
>หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่หญิงสาวเพศเดียวกัน (เช่นโรงเรียนหญิงล้วน
>ยิ่งถ้าโรงเรียนประจำกินนอนยิ่งเห็นผลเร็ว) การกลายพันธุ์นี้เป็นได้ 3
>ลักษณะ คืออาจกลายสภาพไปคล้ายกับชาย ผมจะสั้นลง
>กล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้น หน้าอกจะเล็กลงหรือหยุดการเจริญเติบโต
>เราเรียกว่า "ทอม" ที่น่าเจ็บใจ (ฉิบเป๋ง)
>คือเหล่ามิวแตนผู้กลายพันธุ์นี้ จะดันหาคู่ได้น่ารักกว่า สวยกว่า
>เรียบร้อยกว่ามนุษย์ผู้ชายมาก ... ให้ตายเถอะโรบินสันบางรัก
>
>หวัง ฟัน เจ้า (100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช)
>นักปราชญ์ในสมัยพระเจ้าเหาที่ 12 กล่าวไว้ว่า "ทอมนั้นไซร้
>ก็เหมือนคนขาด้วนที่มีรถสปอร์ต คือลูบได้ คลำได้
>สตาร์ทเครื่องฟังเสียงเล่นได้ แต่ยังไง้ ยังไงก็ขับไปไม่ได้"
>แย่หน่อยนะ)
>
>3. สภาวะความเป็นอยู่ : หญิงสาวส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นสัตว์สังคม
>คือมักจะอยู่กันเป็นฝูง หากินก็เป็นฝูง
>น้อยนักที่จะเห็นผู้หญิงกินข้าวคนเดียว) ชอปปิ้งก็เป็นฝูง
>บางทีจะอึจะฉี่ยังต้องระดมฝูง เอ้ย! เรียกเพื่อนๆ มาเข้าส้วมพร้อมๆ
>กันด้วย เข้าใจว่าเข้าห้องน้ำคนเดียวแล้วจะถ่ายไม่ออก
>ในฝูงจะมีโครงสร้างที่ชัดเจนแน่นอน กล่าวคือ จะมีจ่าฝูงเป็นคนสวยที่สุด
>น่ารักที่สุด มั่นใจที่สุด (และมักจะมีแฟนแล้ว)
>ส่วนลูกฝูงนั้นจะมีลักษณะด้อยกว่า แต่จะต้องมีคนหนึ่งเป็นคนน่ารัก
>แต่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าจ่าฝูง ซึ่งคนนี้จ่าฝูงมักจะใช้เป็นลูกไล่
>และมีคนหนึ่งที่น่ารักน้อยที่สุด จะเป็นเบ๊ของฝูง
>
>แต่อย่างไรก็ตาม การรวมฝูงของหญิงสาวนั้นมักจะฝูงไม่ใหญ่เกิน 5
>คน เพราะถ้าฝูงใหญ่แล้วจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เนืองๆ
>จนจำนวนของสมาชิกในฝูงจะค่อยๆ ลดไปสู่จำนวนดุลยภาพได้เอง
>
>ท่านเจ้าพระยาอย่างราเช็ต (สงสัยมีเชื้อเปอร์เซียน)
>กวีเอกในสมัยโยธยากล่าวไว้ว่า "อันนารีมีมากดังฝูงลิง
>จะจีบทิ้งจีบขว้างบ้างก็ได้"
>ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมการรวมกลุ่มของหญิงสาวมีมาตั้งแต่สมัยโบราณนู่นแล้ว
>
>4. การแบ่งชั้นวรรณะ : หญิงสาวมีระบบการแบ่งชั้นวรรณะในระบบของตัวเอง
>กล่าวคือมีการตัดเกรดเป็น "คัพ" (ซึ่งได้แก่อะไรนั้นจะต้องวิจัยกันต่อไป)
>ซึ่งจะแบ่งเกรดตั้งแต่ A B C
>D E F ซึ่งจะตรงข้ามกับเกรดในระบบโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
>กล่าวคือใครได้เกรด (คัพ) A ถือว่าน่าน้อยเนื้อต่ำใจยิ่ง เกรด B
>ก็ดีขึ้นมาหน่อย กำลังน่ารัก C ก็เรียกว่าเป็นที่นับหน้าถือตา E
>นี่ระดับผู้นำ ส่วน F ก็... นะลอร์ดไทรอัมพ์ นักปราชญ์ชาวอังกฤษ
>ให้นิยามของแต่ละเกรดไว้ดังนี้ "A = Adorable, B = Better, C =Cute, E=
>Extraordinary F= Fake"
ปล.เก็บมา จากที่ไหนไม่รู้ ถ้าอ่านแล้วก็ขออภัย ถ้าชอบก็commentเยอะนะครับ