นายเสงี่ยม บุญจันทร์ เลขาธิการสภาทนายความและอนุกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าว ถึงเรื่องนี้ว่า พฤติการณ์ ของทางร้านที่เรียกเก็บเงินสูงถึง 30,000 บาทโดยกักขังหน่วงเหนี่ยวตัวผู้เสียหายไว้ เพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สิน โดยข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมจ่ายจะไม่รับรองสวัสดิภาพถือว่าเข้าองค์ประกอบความผิด ของข้อหากรรโชกทรัพย์ ตาม ป.อาญามาตรา 337 มีโทษจำคุกถึง 7 ปี ส่วนการเรียกเก็บเงินค่าอาหาร และบริการสูงโดยไม่มีการติดป้ายราคา เป็นการล่อลวงเป็นกลอุบายหรือหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก เป็นความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกถึง 3 ปี
สำหรับกรณีพนักงานที่ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายไปแม้นำมาคืนภายหลัง นั้น เลขาธิการสภาทนายความและอนุกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวว่า ถือเป็นความผิดสำเร็จแล้ว เพราะเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามมาตรา 336 มีโทษจำคุกถึง 5 ปี อย่างไรก็ตาม ร้านไม่มีอำนาจอะไรไปกักขังหน่วงเหนี่ยวล้อมกรอบ เพื่อบังคับให้จ่ายเงิน ซึ่งเป็นการกรรโชกทรัพย์
นายเสงี่ยม กล่าวอีกว่า ร้านพวกนี้ต้องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จัดการ โดยเฉพาะเรื่องราคา ส่วนกรณีจะเรียกค่าเสียหายนั้น ให้ไปฟ้องศาลแพ่งเป็นคดีคุ้มครองผู้บริโภค เพราะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ 5 เท่า ของที่เสียเงินไป ขณะนี้คดีผู้บริโภคศาลท่านใช้เวลาพิจารณารวดเร็ว ดังนั้น ให้ผู้เสียหายมาพบกรรมการคุ้มครองสิทธิ์ ที่สภาทนายความเพื่อร้องทุกข์ ตนจะจัดคณะทนายความสอบข้อเท็จจริงแล้วรับว่าคดีให้จนจบ