เหมือนเป็นสาปน่ะ จากนั้นก็เป็นแบบนี้ตลอด
ชีวิตนี้ ผมเคยคบกับผู้หญิงที่ผมเรียกว่า "แฟน" อย่างเต็มปาก เพียง สามคน........ จนถึงทุกวันนี้....
แล้ว ผมจับได้เสมอว่า เธอไปนอนกับผู้ชายอื่น
ยิ่งแฟนคนล่าสุด จับได้ว่าไปทำกีฬาประเภททีมด้วยซ้ำ.............
เรื่องนี้ ทำให้ เฟท กลายเปนจุดเริ่มต้น จนกระทั่งกลายเปน 1 ใน TKR ป่าว....
ถ้าถามว่า เรื่องนี้ไหม ยังไม่ใช่.... จากนั้นมาผมคบผู้หญิงอีกสองครั้ง.... ซึ่งเจอเรื่องเดียวกัน.....
ตอนนี้จับได้กับแฟนคนที่สาม คำพูดที่ขึ้นมาในหัวของผมคือ "พอกันทีกับคนดี คนซื่อสัตย์"
จะว่าไป ตลอดชีวิตเรื่องผู้หญิงของผม คนที่ผมแคร์ ไม่เคยมีใครแคร์ผมจริงสักคนละมั้ง....... ผมเคยคิดจะหยุดนะ จริง ๆ เคยหยุดแล้วด้วย (ถึงจะหยุดก่อนวัยไปหน่อยก็เถอะ) แต่ผมก็พิสูจน์แล้วผมหยุดไปก็เท่านั้น ไม่มีใครหยุดกับผมหรอก..... ในช่วงเวลานี้... แต่ในอนาคต มันอาจมีอีกสักคนที่ทำให้ผมหยุดอีกครั้งได้.........
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พิมพ์ไป ๆ มา ๆ
มันทำให้ผมนึกถึงคนถัดมา
เกียร์ที่สองแฟนอีกคนของผม (ผมคบทีละคนนะเฟร้ย เหตุการณ์นี้ กับเหตุการณ์ที่แล้ว คนละปีการศึกษากัน) เรียนคณะเดียวกัน เธอเป็นคนที่ผมต้องการคบด้วยใจจริงๆ ไม่เคยมีเรื่องบนเตียงกับเธอ (สาเหตุที่คนนี้ไม่เคยมีอะไรด้วยเพราะเธอขอร้องไว้ เธอบอกว่าเธอยังบริสุทธิ์ จะมอบความบริสุทธิ์ให้ใครสักคนก็ขอให้เป็นคนที่ใช่จริง ๆ เธอถามผมว่ารอวันนั้น วันที่เราจะไม่แยกจากกันแน่ ๆ แล้ว จะได้ไหม ซึ่งผมตอบตกลง)
คนนี้พบกันตอนวันขึ้นดอยของมหาวิทยาลัย เธอยืนไม่ไหวตอนขาลง ผมแบกเธอขึ้นหลัง วิ่งตั้งแต่คูบาจนถึงคณะ นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเธอ
คบกันถึงขนาดแนะนำให้ครอบครัวรู้จักกันแล้ว......... ตลอดเวลาที่คบกัน (ปีนึงเช่นกัน) ผมไม่เคยมีอะไรกับเธอเลย
เธออาจจะชอบเที่ยว แล้วมีเพื่อนผู้ชายรอบตัวเยอะมาก (แมร่ง เที่ยวทีไรเป็น ญ. คนเดียวในกลุ่ม ตรูไม่เครียดได้ไงฟระ) เธอเป็นหลีดคณะ หน้าตาดี มีแต่คนจีบ
ผมเคยเสียเพื่อนถึงสองคนเพราะจีบผู้หญิงคนเดียวกัน....
ผมไม่เคยพาเธอเที่ยวดื่ม L ก ฮ แม้แต่ครั้งเดียว... ในตลอดเวลา 1 ปีที่คบกัน (ตอนนั้นผมถือคติว่า คบใคร แล้วจะไม่พาคนนั้นไปทางที่ไม่ดีเด็ดขาด)
เธอเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง แล้วไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องซ้อมหลีดอันแสนหนัก ผมนั่นแหละที่ติวหนังสือให้เธอตลอด เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ ผมจะพาเธอเข้าไปอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องสมุดกลางของมหาลัย อยู่จนห้องสมุดปิด บางทีก็ไปอ่านหนังสือที่บ้านเธอ แล้วค้างที่นั่น แม่เธอสนิทกับผม แล้วผมก็ไม่นอนด้วยกับเธอนะ ผมนอนโซฟา! บอกแล้วว่าไม่มีอะไร
หลายครั้งมี project หรือการบ้านที่เธอทำไม่ทัน เพราะเธอต้องติดซ้อมหลีด ผมก็ทำให้ แต่ไม่ใช่ทำเปล่า ๆ นะ ทำเสร็จ ผมถือคติต้องสอนและอธิบายทุกอย่างที่ผมทำให้เธอฟังจนเข้าใจ
ผมคบกับเธอโดยคติสำคัญว่า
"เรามาคบกัน ชีวิตต้องดีขึ้น ไม่ใช่พากันแย่ลง" ผมเคยพูดประโยคนี้กับเธอที่อ่างแก้วยามค่ำคืนอันโรแมนติก
เชื่อไหม ผมเคยต่อยกับเพื่อนผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอ.... ไม่ใช่เพราะจีบแฟนเรา ไม่ใช่เพราะพาเธอไปค้าง(ใช่ เธอเคยไปค้างบ้านผู้ชายอื่น เพราะไปเที่ยวแล้วพวกนั้นไม่ยอมส่งกลับ!!) แต่ผมไปต่อยเพราะ "มรึงชวนแฟนตรูไปเที่ยวกลางคืน ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้จะมีสอบ แล้วเธอยังไม่ได้อ่านหนังสือเนี้ยนะ!!"
นึกถึงตรงนี้ ก็เจ็บใจอีกอย่าง ที่เธอเป็นคนที่มีแต่ผู้ชายโอบล้อม..... บางทีบ้านช่องไม่กลับ ไปนอนไหนก็ไม่รู้ ผมโทรไปก็ไม่รับสาย ผมเคยทะเลาะกับเธอเรื่องนี้..... ผมเคยพูดแรงขนาดว่า "แม่เธอจะคิดยังไง ถ้ารู้ว่าเอทำตัวแบบนี้"
เธอก็พูดกับผมด้วยประโยคที่ผมฟังจนเบื่อหู
"แค่ไปเที่ยวกันเฉย ๆ ไม่มีอะไรเสียหาย"ผมเคยน้อยใจนะว่า ผมมีไว้อ่านหนังสือ เที่ยวที่ดีๆ ดูหนังฟังเพลง (เราเคยไปดูหนังบุฟเฟ่ห์ที่เมเจอร์ด้วยกัน) ส่วนผู้ชายเหล่านั้น มีไว้พาไปที่อโคจรสินะ
เมื่อก่อน ทุกเย็นผมกับเธอจะไปนั้งคุยกันที่อ่างแก้ว แล้วขี่มอเตอร์ไซค์รอบคูเมือง โดยศัพท์ของผมกับเธอที่ใช้กันคือคำว่า "ลาดตระเวน"
เวลาเธอที่แทบไม่มีเพราะซ้อมหลีดเลิกดึก ตีสองตีสาม ผมตื่นไปรับเธอกลับบ้าน (แต่ก่อนกลับต้องลาดตระเวนต่อ)
แต่ช่วงหลังตอนใกล้จะเลิกเธอเที่ยวบ่อยขึ้น เที่ยวแบบเธอเป็น ญ คนเดียวในกลุ่มซะด้วย ก็หลีดนี่หว่า มีแต่ใครอยากอยู่ใกล้
มีบางครั้งเธอไม่กลับบ้าน กว่าจะกลับมาก็เช้า (แม่เธอโทรตามหา แล้วโทรมาหาผม ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปไหน)
ช่วงหลังผมทะเลาะกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องนี้... (เอ่อ... ลองคิดดูความรู้สึกผมดิ ผมไม่เคยมีอะไรกับเธอ คนที่ผมถนุถนอมทุกอย่าง มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ กลับหายไปไหนกับผู้ชายทั้งคืน จะให้อยู่เฉย ๆ เหรอ)
ผมทะเลาะ ถึงขั้น ยืนเฝ้าหน้าบ้านเธอตั้งแต่เย็นจนเช้าอีกวันด้วยซ้ำ......
ก่อนคืนดีกัน หลังจากทะเลาะต่อเนื่องกันเกือบเดือนเรื่องที่เธอเที่ยว! เธอก็บอกว่าเธอแค่อยากรู้อยากลอง แต่เธอไม่เคยไปเกินเลยกับใครจริง ๆ.... ผมก็เลือกที่จะเชื่อคนที่ตัวเองรักและห่วงใย สบายใจดี
ผมเคยเขียนจดหมายง้อเธอยาวกว่า 20 แผ่นเลยนะเนี้ย (บ้ามาก)
แล้วก็เหมือนเดิม ตลอดเวลาที่คบกัน ผมไม่มีคนอื่น ไม่มีผู้หญิงอื่นเลย และไม่มีไปเที่ยวกับสาว ๆ กิ๊กอะไรก็ไม่มี เพราะตอนนั้น ผมก็ยังเป็นคนไม่ชอบเที่ยว และเด็กเรียนเหมือนเดิม (เดี๋ยวจะถ่ายทรานสคลิปมาให้ดู สมัยนั้น ตรูเกรด 3.6 กว่าๆเลยนะเฟร้ย ในคณะผม ใครแค่เกรดเกิน 3 ก็ถือว่ามันเทพแล้ว เด็กเรียนโคตร ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ถ้าไม่อ่านหนังสือก็ดูหนัง ฟังเพลงเท่านั้น)
ผมอาจจะไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่ผมทะเลาะกับเธอเรื่องผู้ชายที่มาเกาะแกะเธอบ่อยๆ แต่สุดท้ายเธอก็จะทำให้ผมจำนนกับคำว่า "แค่เพื่อนนา ไม่มีอะไรหรอก" "แค่คนที่มาจีบนา คุยๆเป็นมิตรเฉย ๆ แต่ไม่มีอะไรหรอก" เอ่อ หลีดมันป๊อบนี่หว่า!! จนสุดท้าย เธอยอมลดการเที่ยวลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด บางทีเธอไปดื่มกับกลุ่มผู้ชายที่ไหน เธอจะโทรหาผมแล้วไม่วางจนกว่าเธอจะถึงบ้าน เพื่อให้ผมฟังทุกเหตุการณ์ว่าไม่มีอะไรกันจริง ๆ เพื่อนกันจริง ๆ บางครั้งกลัวผมไม่ไว้ใจ ให้ผมไปรับส่งบ้านด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันว่า นั่นแค่เพื่อนจริง ๆ ช่วงหลังมา เธอลดการเที่ยวลงไปมาก
จนกระทั้ง ตอนสิ้นการศึกษาชั้นปีนั้น ๆ เธอจะไป Work and Travel กับเพื่อสนิทเธอ (ผู้ชายอีกแล้ว) เพื่อนคนนี้เป็นคู่กัดกะผมเลย เพราะทะเลาะกันบ่อยว่าคนคนนี้มีอะไรเกินเพื่อนหรือเปล่า..... แต่หมอนั่นยืนยันกับผมว่า เพื่อนจริงๆ (เอ่อ เมิงก็เพื่อนกรู แฟนเมิงก็เพื่อนสนิทกรู คราวนี้มึงจะไปเที่ยว ตปท. กะแฟนกรู ให้กรูรู้สึกยังไงดี) เอ่อ ท้ายสุด ก็ไปจนได้แหละ....
ตลอดเวลา 3 เดือนที่แฟนอยู่ USA ผมก็ไม่วอกแวกไปไหนจริงๆ เช้าเรียนซัมเมอร์ เย็นเล่นกีฬา (สมัยนั้นเป็นนักว่ายน้ำสมัครเล่น กับอดีตนักจักรยานเสือภูเขาระดับจังหวัดที่ไปซ้อมแจมกับทีมบ่อยๆ) ตกมืดโทรหาแฟน.... ชีวิตเป็นแบบนี้สามเดือน โดยไม่มีเถลไถลกับใครที่ไหน.....
เธอกลับมาไทย หลังจากเปิดเทอม 1 อาทิตย์ (ไม่ต้องบอกว่า ธุระการลงทะเบียนทุกอย่าง ใครทำให้) เธอมาโดยไม่บอกผมล่วงหน้า คือเซอร์ไฟรส์แบบอยู่ดี ๆ ก็โทรศัพท์มาชวนกินข้าวเย็น (อ่าว อยู่ USA ไม่ใช่เรอะ!!)
เธอดูเปลี่ยนไป ออกห่างผมมากขึ้น ไม่รับโทรศัพท์ผมบ่อยขึ้น กลับมาเที่ยวบ่อยเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ค่อยบอกผม หรือไม่ค่อยบอกว่าไปกับใคร ไม่ใช่ไม่สังเกตุ เห็น และรับรู้ทุกอย่างที่ผิดปรกติ แต่ไม่พูด รอเธอพูดออกมาเอง
จนเวลาผ่านไป 2 เดือนได้มั้ง
จนวันหนึ่งเธอรถเสีย.... คืนนั้น ผมกับเธออ่านหนังสือเตรียมสอบด้วยกัน จนจะเที่ยงคืน..... พอจะนอนผมก็อาสาจะไปส่งเธอที่บ้านเพราะรถเธอเสีย แต่เธอปฎิเสธ ยืนยันว่าจะมีเพื่อนมารับ เพื่อนที่อ่านหนังสืออยู่หออีกหอหนึ่ง กลับบ้านทางเดียวกัน อื่มได้.. ผมจะรอจนกว่าเพื่อนเธอจะมารับ...
แค่นี้แหละ เธอลุกลี้ลุกรน ว่าเกรงใจ ให้ผมกลับก่อนเลย ไม่ตองรอ กว่าเพื่อนเธอจมาอีกนาน (คงเป็นครั้งที่เธอพลาดน่ะสิ ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ ทุกอย่างเลยเปิดเผยวันนี้)
ผมก็ไม่ยอมสิครับ มันน่าสงสัยจริง ๆ
แต่เธอก็ยืนยันว่าผมต้องกลับไปก่อน (โดยหาเหตุผลชักแม่น้ำทั้งห้า)
คิดว่าผมจะทำอย่างไร
ก็กลับครับ
แต่แกล้งทำเป็นกลับ จริง ๆ วนกลับมาซุ่มดูเธออยู่.......
แล้วก็มี ผู้ชายหล่อเหลา ผมทรงเกาหลีคนหนึ่งมารับเธอ........... ไม่ใช่ผู้ชายที่มาโอบล้อมเธอที่ผมเคยเห็นเลย คนนี้เป็นใคร ผมไม่รู้จัก.....
ผมแอบตามไปจนถึงจุดหมายของทั้งสองคนคือ หอนอกที่อยู่หลังหอสีชมพูพอดี เป็นหอรวม.......
ผมนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ห่างๆ มองสองคนนั้นเดินเข้าห้องไป..........
(ลองคิดถึงความรู้สึกผมว่า ผู้หญิงที่ผมเฝ้าถนอม ไม่เคยมีอะไรด้วย ไม่ล่วงเกินอะไรเลย ไม่เคยพาไปที่อโคจรใดๆ ผมมอบแต่สิ่งดี ๆ ที่จะให้กับคนที่เราห่วงใยเท่านั้น แล้ว คนอื่นคาบไปแดกหมด!!)
เรื่องราวการทะเลาะและบอกเลิกก็ดำเนินไปตามทางของมัน สุดท้ายผมก็มีโอกาสได้คุยกับผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายคนนั้น ชอบแฟนผมมานานแล้ว แล้ววันที่เธอกลับมาจาก USA เขาก็ไปรับเธอถึงที่ เพราะเค้าโทรหาเธอเหมือนกัน อยากรู้ว่ากลับวันไหน จากนั้นเขาและเอก็ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันบ่อย ๆ แล้วเขาก็ขอเธอคบเป็นแฟน แล้วเธอก็ตอบตกลง โดยที่เธอเล่าให้เขาฟังว่าเลิกกับผมไปแล้ว.......................
ประโยคเดิมเลย
"ก็แค่เที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้ไปจีบบ่าวหรือไปทำอะไรเสียหายสักหน่อย"
"ทำตัวเป็นคนดี มันไม่มีที่อยู่นะเมิง"
แต่ครั้งนี้ เพิ่มประโยคนี้ไปด้วย "เพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีอะไรเกินเลยหรอกนะ"
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าใครรู้จักผมทุกวันนี้
อาจสงสัยว่าทำไมผมถึงเกลียดการเที่ยวกลางคืน ทำไมผมถึงไม่เคยไว้ใจใคร และขี้สงสัยไปหมด
ขอให้เข้าใจหน่อยว่าผมเคยโดนอะไร....... อาจไม่หนักหนาถ้าเทียบกับหลายคน แต่มันฝังใจ....
จบเกียร์ที่สอง....... ผมซื้อเกียร์มาสามอันพอดี...... เกียร์อันสุดท้าย.. ไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟัง
เอาตาม time line จริง ๆ แล้ว เกียร์ที่สองเกิดก่อนเกียร์ที่หนึ่ง
นึกถึงเรื่องดี ๆ แล้วก็อมยิ้ม....... ความสุขที่สุดของผมในวันนั้นคงเป็นการ "ลาดตระเวน"