แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (Jack The Ripper) จอมชำแหละพิสดาร Part 1เขาคือฆาตกรที่คนรู้จักกันทั่วโลก เขาคือฆาตกรที่มีแฟนคลับมากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่คดีที่เขาก่อเทียบไม่ได้กับความโหดในยุคปัจจุบัน
แต่จุดเด่นคือความลึกลับ ปริศนาที่พยานหลายคนให้การต่าง ๆ ไม่เหมือนกันเลยสักคน เขาคือใครกันแน่ ทำแบบนี้เพื่ออะไร
และทำไมเขาถึงหายไปหลังจากจัดการเหยื่อรายสุดท้าย
มารู้จักสถานที่เกิดเหตุคดีในตำนานดีกว่า ย้อนไปใน ลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1888 เป็นช่วงเวลาของ เจ้าหญิงวิคตอเรีย เป็นยุคที่ถือว่า เจริญรุ่งเรือง มาใน ลอนดอน ยุคนั้น แต่อีกด้านนึงคือ ตรอกไว้ท์แช็พเพล
สถานที่นี้อยู่ในเขตอีสต์เอ็นต์ของลอนดอน บริเวณดังกล่าวขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของลอนดอนและเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่อัปยศหดหู่ที่สุดในประเทศ จนได้รับฉายาว่าเป็น
แผลเน่าบนความยิ่งใหญ่ของลอนดอนเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
หญิงโสเภณีในย่านไวต์แชปเพิล แหล่งสลัมเสื่อมโทรมในเขตอีสต์เอนด์ ประชากรที่นี้อาศัยอยู่ราว 90,000 คน คนส่วนใหญ่ในย่านนี้ว่างงานและยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำมีชีวิตไปวัน ๆ อาชีพที่นิยมในย่ามนี้คือขายบริการโดยเฉพาะผู้หญิง
รวมทั้งหัวขโมย นักย่องเบา คนจรจัดที่ไร้ที่อยู่อาศัย
ในปี 1888 ที่เกิดคดีสังหารต่อเนื่องขึ้น ทั่วกรุงลอนดอนมีโสเภณี 1200 คน อยู่ในเขตอี๊สต์ มีถึง 237 โสเภณีมักถูกคุกคามจากพวกแก๊งจารชน ฆาตกรที่หวังทรัพย์สินของผู้ตาย
หากพวกเธอขัดขืนก็ถูกฆ่าตาย ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในย่านนี้
จนกระทั้งมันเกิดคดีนี้ขึ้น และมันทำให้ไว้ท์แซ็พเพลเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกขึ้นมาทันใด
เหยื่อรายที่ 1 แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 1845 เธอแต่งงาน กับ วิลเลี่ยม นิคอลส์ ในปี 1864 มีลูกด้วยกัน 5 คน
เขาและแมรี่ แยกทางกัน แมรี่ จึงไปเป็น โสเภณี เพื่อเลี้ยงดูชีพ ในระหว่างปี 1883-87 เธอไปอยู่กับพ่อของเธอ............ จนกระทั้ง วันที่ 31สิงหาคมค.ศ.1888
ชารล์ส คร้อสส์ พนักงานขับรถ กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะตอนตี 4 ของวันที่ ตอนนั้นยังไม่สว่างเท่าไหร่นัก และอากาศยังชื้นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของกรุงลอนดอน ตอนที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น
ก็ได้เห็นบางสิ่งนอนอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งดูคล้ายกับผ้าใบหรืออะไรสักอย่าง จึงได้เดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ ชารล์สจึงเรียกชายคนนั้น
(ภายหลังก็รู้ว่า โรเบิร์จ พอล พนักงานขับรถเหมือนกัน) คือเพื่อที่จะให้มาช่วยกันเพราะนึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กำลังเมาหรืออาจจะโดนทำร้าย ทั้งสองจึงพยายามที่จะช่วยเธอในบริเวณนั้นที่ยังมืดอยู่
แต่พอทั้งคู่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีต่อมาก็พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ
นายตำรวจ จอห์น นีล ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น เมื่อเห็นว่าไม่ได้การแน่แล้ว
นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินไปยังบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร
ต่อมา นายแพทย์รัสส์ ร้าล์ฟ ลิเวนลีน ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่
และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์ส เดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม ซึ่งมีเลือดเปรอะพื้นอยู่ และเสื้อผ้าของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด
บนคอของเธอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ
จากผลการชันสูตรได้พบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่บาดแผลที่ช่องท้องที่แสดงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะถนัดซ้ายเพราะจากบาดแผลเหล่านี้และความยาวใบมีด เห็นได้ชัดว่าฆาตกร
น่าจะมีความรู้ด้านกายวิภาคไม่น้อย
ภายหลังหมอชันสูตรศพเสร็จแล้ว ตำรวจได้พา วิลเลี่ยม นิคอลส์กับลูกชายคนที่ 3 มาตรวจศพ เมื่อวิลเลี่ยมเห็นสภาพศพที่ถูกทำลายยับเยินถึงกับเอ่ยว่า
"เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันยกโทษในสิ่งที่เธอทำมาในอดีตทั้งหมดเลย"ศพของแมรี่ แอนน์ นิคอลส์ถูกฝังในสุสารวิลฝอร์ดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1888
ขณะตำรวจกำลังมืดแปดด้าน ก็มีชายผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บอกว่า สงสัยว่าจะเป็นชายอันธพาลคนหนึ่งที่มีฉายา
"ผ้ากันเปื้อนหนัง" ชอบรีดไถโสเภณี และขู่ว่าจะฆ่า
หลายต่อหลายครั้ง ตำรวจทราบจึงจะเข้าจับคุม แต่คนร้ายไหวตัวทันหนีไปหลบ ในบ้านญาติ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวได้
และหลังจากนั้น 8 วัน หลังเหตุการณ์ แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ก็เกิดคดีแบบนี้ขึ้นอีกและตำรวจก็พบหลักฐานชิ้นเดียวของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้
"เศษผ้ากันเปื้อน"