10 สตรี ผู้พลิกประวัติศาสตร์โลกไปสู่อนาคตผู้เคยสร้างประวัติศาสตร์ พลิกโฉมหน้ามนุษยชาติทั้งปวง ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่ทำได้ แต่ผู้หญิงก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน
วันนี้จึงขอเสนอ 10 สตรี ผู้พลิกประวัติศาสตร์โลกไปสู่อนาคต ครับ ที่มา : msn.com
10. นักคณิตศาสตร์ ผู้บุกเบิกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เอดา ไบรอน เลิฟเลซ (Augusta Ada King, Countess of Lovelace) ค.ศ. 1815 - 1852 เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ
บุตรสาวคนเดียวของกวีดัง Lord Byron และภรรยา Anne Isabella เธอมีชื่อเสียงโด่งดังจากการร่วมงานกับเพื่อนนักคณิตศาสตร์
ชาวอังกฤษ Charles Baggage ในการบุกเบิกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานทั่วไปชื่อ
'เครื่องยนต์วิเคราะห์ (Analytical Engine)'เมื่อปี 1843 เธอเคยแปลบทความเกี่ยวกับเครื่องยนต์ของวิศวกรชาวอิตาลี Luigi Menabrea ที่เธอได้เติมแต่งโน้ตเพิ่มเติมลงไปเองด้วย
ในโน้ตดังกล่าวนั้น นับเป็นชุดคำสั่งอัลกอริธึมชิ้นแรกที่ตั้งใจให้นำไปใช้งานกับเครื่องจักร เลยทำให้เธอกลายเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรก
ของโลก ถ้าไม่ได้ผลงานของเอดา เทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่แทบทุกวันนี้คงไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้แน่นอน
9. พระจักรพรรดินีนาถบูเช็กเทียน ค.ศ. 624 – 705 คือพระจักรพรรดินีนาถในสมัยราชวงศ์โจว พระนางทรงสถาปนาราชวงศ์ของพระนางเองต่อจากพระสวามี
สมเด็จพระจักรพรรดิถังเกาจง พระนางบูเช็กเทียนทรงขยายขอบเขตของแผ่นดินจีนไปอย่างกว้างขวาง ในขณะที่ก็ทรงพยายามสร้างอำนาจ
ปกครองเบ็ดเสร็จในแผ่นดินของพระนางพระนางทรงยกสถานะของศาสนาพุทธให้เหนือกว่าลัทธิเต๋า สร้างความยุติธรรมให้เกษตรกร ทำให้พระราชสำนักมีความแข็งแรง ใส่ใจด้าน
ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติจีน พระนางบูเช็กเทียนถูกปฏิวัติโค่นอำนาจเมื่อปี 705 และทรงเสด็จสวรรคตในปีเดียวกันนั้นเอง
8. ราชินีนักรบบูดิกา (Boudicca) ค.ศ. 30 - 61 คือราชินีนักรบของเผ่าเซลติก ไอซีนี่ และเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับชาวไบรตันเป็นอย่างมาก
เธอเป็นผู้นำในการยกทัพขับไล่ชาวโรมัน การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเธอเมื่อ ค.ศ. 61 แม้กองทัพชาวเซลท์ของเธอจะพ่ายแพ้ และชัยชนะ
ต้องตกเป็นของฝ่ายชาวโรมันแต่ราชินีบูดิกา ก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาวบริเตนหรืออังกฤษในปัจจุบันเรื่อยมา เจ้าชายอัลเบิร์ต
พระสวามีของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธได้ทรงสั่งการให้สร้างสนุสาวรีย์ของราชินีนักรบพระองค์นี้ ที่ใกล้กับรัฐสภาอังกฤษ
ริมแม่น้ำเทมส์ กรุงลอนดอน
7. นักฟิสิกส์ นักเคมี เจ้าของรางวัลโนเบลมารี กูรี (Marie Curie) ค.ศ. 1867 – 1934 คือผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 สาขา (สาขาหนึ่งเธอได้ร่วมกับสามี ปีแอร์
ซึ่งเสียชีวิตในอุบัติเหตุไปอย่างน่าเสียดาย) เธอเป็นผู้ค้นพบธาตุ 2 ธาตุ ซึ่งก็คือ 'เรเดียม' กับ 'โปโลเนียม' และตั้งความหมายของคำว่า
'กัมมันตภาพรังสี' รวมกับสามี และเธอก็ยังเป็นคนแรกที่คิดเอารังสีไปใช้รักษาโรคมะเร็ง มารี กูรี มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน มนุษยชาติสู่ยุคพลังงานนิวเคลียร์
เป็นผู้ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์เคมี, ฟิสิกส์, และวงการแพทย์ พร้อมๆกับที่ต้องต่อสู้กับอคติที่มีต่อผู้หญิงในวงการวิทยาศาสตร์ด้วย
6. วีรสตรีชาวฝรั่งเศส และนักบุญนิกายโรมันคาทอลิกโจนออฟอาร์ก (Joan of Arc) ค.ศ. 1412 – 1431 เกิดที่เมืองทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส เธอได้รับการยกย่องให้เป็นวีรสตรี
ของชาวฝรั่งเศสหลังจากนำกองทัพฝรั่งเศสเอาชนะฝ่ายอังกฤษได้ที่เมืองออร์เลอองส์เมื่อเธออายุได้ 18 ปีแต่ปีถัดมา เธอก็ถูกชาวอังกฤษที่ได้ความช่วยเหลือจากชาวฝรั่งเศสจับเผาทั้งเป็นในข้อหาเป็นพวกนอกรีต 500 ปีต่อมา
เธอก็ได้รับการประกาศแต่งตั้งให้เป็นนักบุญหลังจากการพิพากษาครั้งใหม่ที่ศาลสรุปว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
5. นักบินอะมีเลีย แอร์ฮาร์ต (Amelia Earhart) ค.ศ. 1897 – 1937 เป็นนักบินหญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตลิกติก จนได้รับ
กางเขนกล้าหาญ (Distinguished Flying Cross) จากรัฐสภาอเมริกัน เธอเป็นสมาชิกพรรคสตรีแห่งชาติ (National Woman's Party) และเป็นคนกลุ่มแรกๆที่เรียกร้องสิทธิความเท่าเที่ยมกันระหว่างชาย-หญิง แต่น่าเศร้าที่เธอหายสาบสูญไปในปี 1937 ในระหว่างการเดินทาง
สร้างสถิติบินรอบโลก และแม้ภารกิจของเธอจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสามารถของผู้หญิงนั้นมีมากแค่ไหน
4. จิตรกรฟรีดา คาห์โล (Frida Kahlo) ค.ศ. 1907-1954 เป็นที่รู้จักในฐานะจิตรกรที่โด่งดังที่สุดของชาวเม็กซิกัน เธอเป็นสัญลักษณ์ของพลัง
ความคิดสร้างสรรค์จากสตรี ฟรีดาเริ่มวาดภาพหลังจากเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุถูกรถบัสชน ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยบาดเจ็บที่กระดูก
สันหลังและกระดูกเชิงกรานของเธอเรื่อยมา เธอเริ่มต้นวาดภาพในช่วงพักฟื้น จนกระทั่งสามารถวาดภาพตัวเองภาพแรกได้สำเร็จในปีต่อมา เธอยังมีบทบาททางด้านการเมือง
ด้วยการเข้าร่วมกลุ่มเยาวชนคอมมิวนิสต์ ต่อด้วยการร่วมพรรคเม็กซิกันคอมมิวนิสต์ และแต่งงานกับเพื่อนจิตรกรคอมมิวนิสต์ Diego Rivera
3. นักเขียน, นักปรัชญา, นักเรียกร้องสิทธิสตรีนักปราชญ์หญิงชาวอังกฤษ แมรี วอลสโตนคราฟท์ (Mary Wollstonecraft) ค.ศ. 1759 - 1797 เป็นหนึ่งในนักปรัชญาผู้ออกมาเรียกร้อง
สิทธิสตรีคนแรกๆในประวัติศาสตร์ ความคิดที่แหวกยุคของเธอถูกแสดงผ่านผลงานขึ้นชื่อต่างๆมากมาย อย่างเช่นผลงานชื่อ
A Vindication of the Rights of Women เมื่อปี 1792 ของเธอที่ส่งผลผลักดันกระบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีไปทั่วโลกเธอต่อต้านความคิดที่ว่าผู้หญิงต้องยึดติดอยู่กับหน้าที่ทำงานบ้านเท่านั้น เธอชี้ว่าหากเพศหญิงได้รับโอกาสทางการศึกษาเช่นเดียวกับเพศชาย
ก็จะไม่ได้ด้อยกว่าเพศชายตามกฎธรรมขาติแต่อย่างใด ความคิดของเธอจุดประกายและสร้างประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันเรื่อยมาแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้
หลังจากใช้ชีวิตผิดยุคผิดสมัยเรื่อยมา พอปี 1797 เธอก็เสียชีวิตลงหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคนที่ 2 Mary Wollstonecraft-Godwin
ได้เพียง 10 วัน ผู้ที่ต่อมาได้ให้กำเนิดนิยายสุดคลาสสิคเรื่อง Frankenstein นั่นเอง
2. นักเรียกร้องสิทธิพลเมืองชาวแอฟริกัน-อเมริกันในปี 1955 ช่างเย็บผ้ารายนี้ปฏิเสธไม่สละที่นั่งของเธอให้คนผิวขาวในรถบัสจนกลายเป็นเรื่องโด่งดัง เธอถูกจับตั้งข้อหาละเมิดกฎหมาย
แบ่งแยกสีผิวที่เป็นที่รู้จักในชื่อของกฎหมาย 'จิมโครว์' พาร์คส์ ต่อสู้คดีและลุกขึ้นท้าทายกฎหมายเหยียดผิว การจับกุมเธอส่งผลให้คนผิวสีพร้อมใจกันแบน ไม่ขึ้นรสบัสที่มอนโกเมอรี่ นำโดย มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการประท้วงแบบไร้ความรุนแรง เรียกร้องสิทธิพลเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
1. ฟาโรห์องค์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ69 - 30 ปีก่อนคริสตกาล หนึ่งในผู้หญิงที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกยุคก่อน และยังเป็นหนึ่งในสตรีผู้ปกครองที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์
พระราชประวัติของพระนางคลีโอพัตรายังคงทำให้ใครหลายๆคนต้องทึ่งอยู่เสมอๆ ด้วยการที่ทรงปกครองในราชวงศ์ปโตเลมีร่วมกับพระบิดา
และต่อมาร่วมกับเหล่าพระอนุชา (ที่พระนางทรงอภิเษกสมรสด้วยตามประเพณีของชาวอียิปต์) ก่อนจะทรงก้าวขึ้นปกครองแต่เพียงพระองค์เดียวพระนางคลีโอพัตรามีชื่อเสียงจากการเชื่อมสัมพันธ์กับจักรพรรดิโรมัน จูเลียส ซีซาร์ ที่ช่วยรวบรวมอำนาจของพระนาง กลายเป็นประเด็นในหน้า
ประวัติศาสตร์ที่ 2 อารยธรรมยิ่งใหญ่แต่แตกต่าง สามารถหันมาเป็นมิตรกันได้ ในช่วงที่อำนาจของพระนางเจริญถึงขั้นสูงสุด พระนางได้แผ่อำนาจ
ปกครองขยายไปไกลจนเกือบทั่วชายฝั่งทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน เป็นราชอาณาจักรสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าที่ฟาโรห์พระองค์ไหนทรงเคย
ทำได้เลยทีเดียว